ยึดมั่นถือมั่นบันดาลผล

ท่านได้เล่าประสบการณ์วิญญาณผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่น เช่นในสิ่งที่ตนรักและหวงแหน หรือรวมไปถึงบุคคล ที่เคยมอบสิ่งของเช่นที่ดิน กุฏิ ศาลาต่างๆ แก่วัด เมื่อเป็นของสงฆ์ไปแล้ว ตนก็ยังเข้าใจว่า สิ่งนั้นๆยังเป็นของตนอยู่ ตนยังมีสิทธิ์มีอำนาจ ถ้าใครมาทำความเสียหายด่างพร้อย ก็ถือสิทธิด่าว่ากล่าว เหมือนคนที่ถวายที่ดินเป็นธรณีสงฆ์ แต่ตนเองหลงผิดหลงอำนาจว่า เคยเป็นเจ้าของที่ดิน ครั้นความยึดมั่นถือมั่น แน่นหนาหลั่งล้นจิต เลยถือสิทธิด่าพระด่าเจ้า ที่ทำให้ตนไม่พอใจ จึงเป็นอุทาหรณ์ที่ว่า.”ทำดีอยู่หรอก แต่คิดไม่ดีแทนที่จะได้ไปสวรรค์ กลับต้องลงนรก ....”


เหตุจากเณรน้อย

ตอนนั้นมีพระเณรหลายรูปที่อยู่ในความดูแลของท่าน วันหนึ่งเณรที่มาศึกษาเล่าเรียนอยู่ด้วย ขอลาไป เยี่ยมบ้านกลับบ้านที่อำเภอป่าซาง เมืองลำพูน ท่านก็ให้ไป หลายวันแล้วไม่ยอมกลับมาวัดอีกเลย ท่านเกรงว่า ลูกเขาจะได้รับอันตรายเลยร้อนใจ ด้วยเวลานั้นหนทางมันไกล เพราะไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน ท่านจึงตัดสินใจ เดินทางตามไปดูเณรที่บ้านได้รู้แน่ว่าเณรคงไม่กลับไปวัดอีกแน่ บิดามารดาของเณรพร้อมญาติมิตร ได้นิมนต์ให ้พักก่อนเนื่องจาก เกรงจะมืดค่ำกลางทางเดินทางลำบาก แม้จะพ้นสภาวะสงคราม ป่าซางในอดีต ก็ยังมีผู้คนน้อยมาก


ผจญเปรตหมาดำ

บิดาสามเณรได้จัดเสนาสนะ ให้ที่วัดร้างใกล้บ้าน ที่มีต้นไม้รกชักมากและไม่มีใครดูแลรักษาความสะอาด ดูวังเวงชอบกล เมื่อท่านพักที่วัดร้างนั้น บิดาของเณรก็มานอนเป็นเพื่อน หลังจากสรงน้ำแล้วก็ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมสลับกันไป ตอนดึกคืนนั้นบิดาเณรก็นอนหลับไปแล้ว ตามประสาชาวบ้าน ที่เหน็ดเหนื่อยต่อการงาน ส่วนท่านเดินจงกรมเป็นเวลาพอสมควร ก็กลับมานั่งสมาธิทำจิตให้สงบต่อไป ขณะนั่งสงบนิ่งอยู่นั้น ท่านมีสติรู้พร้อม จิตก็รู้ว่ามีหมาดำตัวโตมาก ท่าทางดุร้าย วิ่งตรงเข้ามาหา แล้วกระโดดเข้ามาจะกัด แต่ขณะที่หมาดำ กระโดดเข้ามาจะกัดนั้นก็เหมือนกับว่ามีอะไรสักอย่างหนึ่ง ปะทะหมาดำตัวนั้นไว้ หมาดำตัวนั้นดูโกธรแค้นมาก ในทางความรู้สึกทางจิตในขณะนั้น แต่น่าอัศจรรย์อยู่ว่า หูท่านได้ยินเสียงหมาดำ มันวิ่งวนๆรอบๆตัวตัวที่อาตมานั่งสมาธิภาวนาอยู่ มันยังจะคิดเข้ามากัดอีก รู้สึกเหมือนกับ ใครเอาเท้าเตะหมาดำตัวที่จิตรู้นั้น ซึ่งไม่ใช่ตัวหลวงพ่อ หูก็ได้ยินเสียงหมาดำวิ่งวนไปรอบๆตัว ขาของมัน ที่วิ่งวนๆอยู่นั้นเหยียบวิ่งอยู่บนใบไม้แห้งกราวๆ ทำให้ได้รู้ว่าผีเปรตที่เฝ้าวัดร้างนี้เอง เขามาไล่ให้หนีไป เขาคงจะหวงที่ ของเขามาก


พุทโธเป็นที่พึ่ง

ส่วนบิดาของเณรนอนหลับ อยู่ก็ฝันเห็นตาผ้าขาวมาดึงตัวของแกให้ลุกขึ้น ทำท่าทางขู่ให้ลุกขึ้นแล้วหนีไปเสีย ในฝันก็ออกกำลังยื้อยุดฉุดแย่งกัน บิดาเณรไม่มีอะไรเป็นเครื่องป้องกัน สมาธิก็ไม่มีเลยเป็นฝ่ายแพ้ บังเกิดความกลัวถึงขีดสุดถึงกับร้องลั่นและตกใจตื่น ท่านจึงบอกให้โยมบิดาของเณร ขณะที่ท่านนอนหลับตา อยู่ว่าโยมไม่ต้องกลัว นั่งภาวนาพุทโธๆสวดไปเรื่อยๆนะอย่าหยุด สวดไปไม่ต้องกลัว ทำอะไรไม่ได้หรอก ขณะที่นั่ง สวดภาวนาอยู่นั่นเสียงกราวๆก็ยังดังอยู่ บิดาเณรกลัวมากไม่ยอมลืมตามาดูเลย เสียงวิ่งเหยียบใบไม้แห้ง ของหมาดำก็หายหมด ท่านได้แผ่เมตตา ให้แก่เขาไปให้เขาเป็นสุข ละความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งของทุกอย่าง จิตใจจะได้สงบระงับ นั่งไปสักพักเสียงวิ่งก็ยังดังอยู่ เลยค่อยๆลืมตาขึ้นดู น่าอัศจรรย์มาก ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่เสียงใบไม้แห้งยังดังกราวรอบๆ ตัว ท่านกับบิดาเณณนั่งสมาธิกันจนถึงสว่าง จิตใจสงบเยือกเย็นดีมาก


เรื่องมีอยู่ว่า

หลังจากที่รับบิณฑบาต จากบิดาเณรแล้ว ก็ได้เล่าเหตุการณ์ให้ชาวบ้านฟัง ทุกคนก็ได้มาทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้แก่วิญญาณนั้น และได้เล่าความจริงให้ฟังว่า เมื่อก่อนที่วัดนี้มีพระเณรอยู่มากมายหลายรูป มีผ้าขาวดูแลเฝ้าอยู่ เกิดล้มเจ็บ พอออกพรรษาก็ลาสึกหมด เลยมีแต่ผ้าขาวเฝ้าอยู่ ใครมาทำอะไรในวัดไม่ได้เลย ต่อมาผ้าขาวเกิดล้มเจ็บ ป่วยอยู่นาน แล้วในที่สุดแกก็มาตายลงที่วัดนี้ ท่านจึงขออยู่ นั่งภาวนานั่งสมาธิ อีกหนึ่งคืนเพื่อพิสูจน์ความจริง แต่หลังจากคืนนั้นที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แล้วเหตการณ์ต่างๆก็ไมมีอะไร มีความสงบเงียบจิตใจเป็นสมาธิดี ผลของบุญกุศลส่งเสริมให้ได้รับความเยือกเย็นตลอดรุ่งเช้านั่นแปลว่าผลแห่งเมตตาธรรม ได้ชนะความยึดมั่นแห่งดวงวิญญาณของตาผ้าขาว


เพราะสบายเกินไป

ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านพร้อมด้วยสหธรรมิก ๓-๔ รูปได้พากันเดินธุดงค์เพื่อวิเวกทางจิต มุ่งไปทางจังหวัดลำปางซึ่งมีภูเขา ถ้ำเงื้อมผามากมาย แต่ละสถานที่เหมาะที่จะประพฤติวัตรการปฏิบัติธรรม เมื่อไปถึงอำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ก็ได้ปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำแจ้ง ถ้ำแห่งนี้อากาศสบายถ่ายเทดี สว่าง แสงแดดส่องถึง ไม่แฉะไม่อับ เมื่ออยู่ถ้ำ สามวันแรกก็ไม่มีอะไรเหตุการณ์อะไร นั่งสมาธิ เดินจงกรม จิตใจสงบมาก มีความรู้สึกเยือกเย็นดีเหลือเกิน ในความสงบสุขนั้นไม่แพ้สวรรค์แน่ๆเลย จิตใจเยือกเย็นสบายดีจริงๆเลย คนเรานี่เวลามีความทุกข์ ก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนโทษฟ้าดินว่าไม่มีความปราณี บุญกุศลหนอไปไหนหมด ทำไมไม่ส่งเสริมช่วยเหลือกันสักที ทำไมจึงปล่อยให้ผจญชะตากรรมอย่างนี้ นั่นว่าไป เวลาได้รับความสุขนะ ชักจะลืมตัว มันสบายมากเลยเกิดความประมาท แรกๆมาอยู่ป่าอยู่ดงก็กลัวไปหมดร้อยแปด พออยู่ไปได้สามวัน แล้วมันไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น คิดไปคิดมา จิตใจมันก็ประมาทอย่างรุนแรง กิเลสถูกคนจนขุ่นมัว

ทางเดินจงกรม

เมื่อประมาท มารก็ได้ช่อง

เมื่อความประมาทเกิดขึ้นในจิตใจ ความดีทั้งหลายที่เคยปฏิบัติ มันก็เลิกล้มความคิดที่จะปฏิบัติต่อไป เช่น
๑. เคยสำรวมกายวาจาใจ กลับไม่ทำอีกต่อไปแล้ว
๒.เคยทำวัตรสวดมนต์เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กลับใจไม่เอาแล้ว อยู่ป่าไม่เห็นน่ากลัว ไม่ต้องไหว้พระก็ได้
๓. เคยนั่งสมาธิ เดินจงกรม มีสติปัญญาดีเท่าไหร่ เลิกละหย่อนยาน เลยได้เรื่อง

เย็นวันที่สี่ ท่านปวดถ่ายทุกข์ ก็ไปยังที่ถ่ายทุกข์เป็นก้อนหินอยู่ริมๆภูเขา ขณะถ่ายทุกข์กิเลสมันเกิด ขึ้นอย่างรุนแรง เกิดความกำหนัดขึ้นมา สติตามไม่ทันด้วยประมาทเกินไป เลยหลงทางคิดถึงผู้หญิงขึ้นมา กิเลสกามนี่ร้อนแรงเร็วไวจริง อารมณ์กำหนัดนี้ มันรวดเร็วเหลือเกินนะ ถ้ามันเกิดขึ้นมันก็จะทำลายสติ ทำลายสมาธิ ทำลายธรรมะ กั้นทางความคิดหมด ทำให้หน้ามืดตาลายเสียผู้เสียคนไปเลย ท่านตกใจ คิดได้หลัง จากขาดสติไปพักหนึ่ง เลยรีบพิจารณาหาทางดับ เพราะเราได้หาทางผูกไว้ ก็ต้องเรียนแก้เอาเอง เกิดความ ละอายอย่างมากในตอนนั้น ท่านก็คิดปราบโทษตัวเองว่า นี่เรามาอยู่ป่าทำไมจึงคิดไม่ดีเสียละ เราเป็นพระสงฆ์ มาคิดเรื่องทางโลกก็ใช้ไม่ได้ละซิ ไม่เอาๆต้องใช้หนี้กรรมก่อนละ


สำคัญที่จิตตน

วิธีดับอารมณ์จิต ขณะที่มันพลุ่งพล่านขึ้นมาพร้อมกับผสมผสานกับกิเลสตัณหา ต้องทำดังนี้ ความคิดในลักษณะกามตัณหา ตอนสำคัญของนักปฏิบัติต้องนำลงให้หมดไม่อย่างนั้นมันไม่สมบูรณ์ ท่านปรุงแต่ง ให้เกิดความนึกคิดให้เกิดความกำหนัดขึ้นมา โดนน้อมใจ เชื่อว่ามีเพศตรงข้ามนั่งอยู่ตรงหน้า คิดปรุงแต่ง ปล่อยจิตใจไปตามอารมณ์ มองเห็นหน้าของกิเลสตัณหา เมื่อท่านปรุงแต่งความนึกคิดไป องคชาติก็แข็งตัว เกิดความกำหนัดขึ้น จากนั้นท่านก็กำหนดดับความคิดปรุงแต่งนั้น โดยการดึงจิตเข้าสู่ความสงบ พิจารณา ความจริงของร่างกาย แยกธาตุให้เป็นสัดส่วน มองสังขารของตังเองไม่เที่ยงแท้แน่นอน สิ่งที่ปรากฏอยู่นี้ แท้จริงมันเกิดจากความนึกคิดของจิตใจ ซึ่งปรุงอารมณ ์ให้เกิดตัวตนไปเอง ถ้าดับจิตลงแล้ว สังขารมันก็จะทรงสภาพนี้ไม่ได้ เมื่อสภาพความจริงปรากฏแก่จิตใจแล้ว องคชาติก็อ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงรู้ว่าที่มันเกิดฝืนธรรมชาติ ก็เพราะอำนาจการปรุงแต่งที่ส่งกระแสไปจากจิต มันไม่มีอาการคัดค้าน อีกท่านจึงได้สติคิดว่า กามตัณหามันจะเกิดขึ้นนั้น ก็เนื่องจากความดำริของคนนั้นเอง ถ้าบุคคล ปล่อยวางอย่างสงบไม่ปรุงแต่งขึ้นมา มันจะเกิดความกำหนัดอีกไม่ได้ ความใคร่ไม่มีแน่นอน ท่านคิดอย่านี้มัน เกิดความเสียหายแก่ตนเอง ก็คิดว่าท่านเสียท่ากิเลส ก็รีบกลับไปยังกลดไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิภาวนา


คืนถูกผีสาวปล้ำ

ท่านเล่าว่าคืนหนึ่งท่านนั่งสมาธิ เดินจงกลมชดใช้ข้อผิดพลาด ที่ขาดสติ พอเดินจงกรมเสร็จ ก็ดึกมากแล้วจึงเข้ากลดเพื่อพักผ่อน พอล้มตัวลงนอนในลักษณะตะแคง ทำจิตใจสงบอยู่พักหนึ่ง ก็ปรากฏ เหมือนมีใครมายืนอยู่ข้างหลัง ท่านพยายามทำใจปกติไม่หวั่นไหว อะไร กำหนดดูอยู่ก็รู้ว่า คนที่ยืนอยู่ ้ข้่างหลังเป็นผู้หญิง พอจิตรู้ว่าเป็นผู้หญิงเท่านั้น หญิงนั้นก็เข้ากอดรัดข้างหลังจนแน่นทีเดียว ท่านถูกกอดปล้ำอย่างนั้น ก็ดิ้นรน สมาธิขาดห้วงไป เอาแต่สลัดไปสลัดมาเพื่อให้หลุดจากผู้หญิงคนนั้น แต่กลับถูกยิ่งรัดแน่นขึ้นทุกขณะท่านดิ้นอย่างรุนแรง จิตใจไม่ได้บริกรรมอะไรเลย ขณะดิ้นไปมา ข้างหน้ามีภาพหลวงปู่สิม พุทธาจาโร นั่งขัดสมาธิมองดูตัวของอาตมาอยู่ พร้อมกับชี้หน้าพูดขึ้นว่า ใครคิดไม่ดีกรรมใครกรรมมัน พอหลวงปู่สิม พูดจบก็นั่งหลับตาเฉย ท่านมหาทองอินทร์ก็ยังไม่พ้นอันตราย ผู้หญิงคนนั้นยังกอดรัดอยู่เหมือนงูเหลือม พอได้คิดว่า หลวงปู่สิมไม่ช่วยเราแน่ แล้ว เราก็ต้อง ช่วยตัวเองอย่างสุดฤทธิ์กันละ ว่าแล้วก็ดิ้นรนขนาดใหญ่พอสลัดไปมาอยู่พักหนึ่งก็หลุดออกมาได้ ในความรู้สึกนั้นท่าน วิ่งไปทางหลวงปู่สิมนั่งอยู่ ท่านก็หันกลับมามอง คราวนี้ไม่ใช้ผู้หญิงเสียแล้ว กลับกลายเป็นอสูรกายตัวใหญ่โตดำมาก ร่างกายกำยำล่ำสัน มันวิ่งเข้าหาท่าน พอรู้ว่าเป็นผู้ชายเป็นผีอสูรกาย ท่านก็เกิดกำลังใจ ท่านได้วิ่งเข้าสู้กับวิญญาณนั้นเป็นการใหญ่ จิตใจไม่หวั่นไหวอีกแล้ว คราวนี้เลือดนักมวยเก่ามันร้อนระอุ ทั้งหมัดทั้งเท้าเหวี่ยงออกไปอย่างรุนแรงได้เหงื่อเลยทีเดียว การตะลุมบอนกับผีร้ายนี้นานมาก สู้กับมันทั้งเตะทั้งต่อน ตีวุ่นวายไปหมด สู้กันจนอสูรกายตนนั้นพ่ายแพ้หนีไป พอรู้สึกตัว ก็เตะเอากลดมุ้ง บาตรม้วนพับกระจัดกระจายเกลื่อน เลยรู้ตัวว่าเราเสียทีอีกแล้ว คืนนั้นนอนไม่ได้อีกแล้ว กลดมุ้งไม่มีราบหมด ท่านก็นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม จนกระทั่งรุ่งเช้าออกบิณฑบาตได้เลย ไม่ได้พักผ่อนกันเลย


ผีกระชากเท้า

ครั้นวันที่ห้า ตอนกลางวันผ่านไปตกบ่ายหลังจากสรงน้ำแล้ว ก็ตั้งสัจจะวาจาโดยจะปฏิบัติบูชา ถือเนสัชชิกธุดงค์ ไม่นอนตลอดคืน เพราะท่าน เกรงว่าจะเสียท่าเหมือนคืนก่อน ท่านก็ปฏิบัติตามคำสอน ครูบาอาจารย์ ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม กริยาทุกอย่าง พยายามรักษาไว้ด้วยสติสัมปชัญญะ เพื่อไม่ให้พลาดนั่นเอง แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจนได้ในเวลาตีสี่กว่า เหมือนกรรมเก่ามาแกล้ง ท่านเกิดความง่วง อย่างรุนแรง หาวน้ำตาร่วงเลย ขณะที่นั่งทำความเพียรอยู่นั่นเกิดหลับไป เมื่อหลับไปในทันทีนั้น ก็มีความรู้สึกว่า มีมือใครคนหนึ่ง ค่อยๆเอื้อมมายังท่านพระนพีสีพิศาลคุณ แล้วจับเท้าท่านกระชากอย่างรุนแรงไปข้างหลัง แรงกระชากทำให้ท่านคะมำไปข้างหน้า เลยได้คิด ว่าเราเสียสัจจะที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกแล้ว น่าเสียดายที่ท่านยังอ่อน ในเรื่องภาคปฏิบัติ จำต้องฝึกฝนให้แก่กล้ามากยิ่งๆขึ้นไปอีก

ต่อมาหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้ทำหนังสือมาบอกท่านว่า วัดสันติธรรมขณะนี้ไม่มีพระผู้เป็นหัวหน้า ขอให้ท่านกลับมาอยู่วัดสันติธรรมได้แล้ว เมื่อมีเหตุขึ้นเช่นนี้ท่านจึงสำรวมจิตเข้าสู่สมาธิ กำหนดรู้ขึ้นมาว่า เราจะกลับไปวัดสันติธรรมหรือไม่ มีนิมิตเกิดขึ้นมาในขณะนั้นว่า “พระสาวก สาวิกา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเอาหมู่เอาคณะท่านไม่หนีเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ท่านย่อมช่วยหมู่ช่วยคณะตามกำลังความสามารถของท่าน ตัวเรานี้ก็มี ความรู้ความสามารถ พอสมควรแล้ว ควรที่จะช่วยเหลือหมู่คณะได้แล้ว ” เมื่อเกิดความรู้ ขึ้นมาบอกเหตุเช่นนั้น ประจวบเหมาะ กับเมื่อโยมคิ้ม (นางสาวนิ่มคิ้ม สุภาวงค์ )ได้ส่งคนไปที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาจรุย เพื่อนิมนต์ท่านให้กลับมาที่วัดสันติธรรม ท่านจึงได้มอบ สำนักสงฆ์ถ้ำผาจรุย ให้พระอาจารย์ละมุดอยู่ดูแลแทน ท่านพระนพีสีพิศาลคุณจึงกลับมาพร้อมกับโยมที่ไปนิมนต์ เพื่อมาอยู่ที่วัดสันติธรรม


กลับมาพัฒนาวัดสันติธรรม

เมื่อพระนพีสีพิสาลคุณกลับมาวัดสันติธรรม เห็นสภาพของวัด ศาลา กุฏิ ล้วนแต่ทรุดโทรมไปมาก พระเณร ก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อย และก็มีอยู่ ๒-๓ รูปเท่านั้น ญาติโยมผู้อุปถัมภ์ก็เสื่อม ศรัทธาและเหลือ คณะศรัทธาน้อยคนที่จะอุปถัมภ์ ท่านจึงตั้งปณิธานว่า เราจะพัฒนาวัด อบรมญาติโยม และอบรม พระภิกษุสามเณร ต่อไป

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ หลวงปู่สิมเกิดป่วยเป็นโรคไต ท่านจึงมีจดหมายขอลาออกจาก ตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดสันติธรรมต่อเจ้าคณะอำเภอ จึงเป็นเหต ุให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันติธรรมว่างลง ทางเจ้าคณะอำเภอจึง ได้แต่งตั้ง ให้ท่านพระนพีสีพิศาลคุณ เป็นผู้รักษาการ แทนเจ้าอาวาสวัดสันติธรรม

อุโบสถขณะกำลังก่อสร้าง

ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส

ใน ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ท่านพระนพีสีพิศาลคุณอายุได้ ๓๙ ปี ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติธรรม ณ วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๑๐ ท่านมีความดำริว่า เราจะดำเนินการสร้างอุโบสถที่หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ผู้ริเริ่มสร้างค้างไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ ๒๔๙๕ ยังไม่เสร็จ จะทำให้สำเร็จให้ได้ ท่านพระนพีสีพิศาลคุณเข้าที่สงบจิต ทำจิตให้เป็นหนึ่งแล้วอธิษฐานว่า“ข้าพเจ้าจะสร้างอุโบสถนี้ให้สำเร็จภายใน ๓ ปี”

ปรากฏว่าการก่อสร้างอุโบสถได้สำเร็จตามกำหนด ๓ ปี ระหว่างพ.ศ. ๒๕๑๐-พ.ศ. ๒๕๑๓ ดังที่ท่านได้อธิษฐานไว้ รวมเวลาการสร้าง พระอุโบสถตั้งแต่หลวงปู่สิม พุท?ธาจาโร เริ่มสร้างพ.ศ. ๒๔๙๕ - พ.ศ. ๒๕๑๓ ใช้เวลาทั้งสิ้น ๑๘ ปี สำเร็จด้วยกำลังกายกำลังใจ กำลังสติปัญญาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร และพระนพีสีพิศาลคุณ ศิษย์เอกคนแรกของหลวงปู่สิม พร้อมทั้งแรงสนับสนุน ของคณะศิษย ์และศรัทธาวัดสันติธรรม ร่วมกันสร้างอุโบสถ ๑ หลังกว้าง ๑๔ เมตร ยาว๒๘ เมตรสูง๓๐ เมตร เป็นอุโบสถที่วิจิตรสวยงาม หน้าบันด้านหน้าเป็นปูนปั้นเรื่องเมฆขลาล่อแก้ว หน้าบันด้านหลังหันหน้าสู่พระสันติเจดีย์ เป็นงานจิตรกรรมเขียนสีลงทองเรื่องราว ของพระพุทธเจ้าตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน สิ้นทุนในการ ก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๘๒,๙๑๐.๑๐ บาท

ในวันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๓ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ( จวน อุฏฐายีมหาเถระ ) เสด็จเป็นองค์ประธาน ผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต และทำการฉลอง อุโบสถ เป็นเวลา ๓ วัน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ ๒ ถึงวันเสาร์ที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓ มีพระภิกษุสามเณรและศรัทธาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

อุโบสถวัดสันติธรรม
พระภิกษุสามเณรตั้งแถว
รับเสด็จสมเด็จพระสังฆราช
ฆราวาสตั้งแถวรับเสด็จฯ

หลวงปู่สิมแสดงพระธรรมเทศนา

มอบธรรมะแทนพระคุณมารดา

เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐ โยมมารดาและน้องสาวได้เดินทางมาจากเพชรบูรณ์เพื่ออุปัฏฐาก ท่านถือเอาโอกาสนั้น อบรมสอนพระกรรมฐานให้ตอบแทนบุญคุณ มารดาของท่านปฏิบัติธรรมได้ดีเพราะตั้งใจจริง สมัยเมื่ออยู่ เพชรบูรณ์ท่านสอน กรรมฐานให้โยมมารดาได้เพียงครั้งเดียว เพราะหมู่ปฏิบัติมันน้อย ก็เลยพลอยหมดกำลังใจ ครั้นมาอยู่จังหวัดเชียงใหม่มาปฏิบัติผู้คนหมู่มาก ก็สามารถรุดหน้าไปด้วยดี ได้เริ่มเรียนรู้สมาธิโดย การกำหนดลมหายใจ ควบคู่กับองค์พุทโธ การหายใจท่านก็ปล่อยวางการสอนให้เป็นไปตามธรรมชาติที่สุด หายใจแบบธรรมดาไม่หนักไม่เบาจนเกินไป อาการรู้ต้องเด่นชัด มีสติรู้เสมอ โยมมารดาเป็นโรคหืดหอบ แรกๆ ก็รู้สึกลำบากพอสมควรเพราะว่าอาการหายใจปกติแล้วก็ดูออกจะลำบากเมื่อนั่งสมาธิก็ยิ่งอึดอัดมาก แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์มีความมานะพยายามมีความอดทนต่อสู้กับอุปสรรคกำหนดจิตให้คลายความกังวล ไม่มีอะไรในโลกที่มนุษย์จะทำไม่ได้ วิสัยของมนุษย์เอาทุกอย่างทั้งภายนอกและภายใน ไม่เคยย่อท้อกับ ความลำบากดูอย่างนี้ซิ ความโลภก็เอา ความโกรธก็เอา ความหลงก็เอา กิเลสตัณหา อุปาทานรับไว้หมด ความทุกข์ระทมใจ ความเสียอกเสียใจ ก็รับเอาไว้หมดแล้วเวลาเราจะนั่งเอาความดี รับเอาความสงบ สุขในทางธรรมะบ้าง มันจะร้อนรุ่มหนักหนาอะไร ท่านให้กำหนดรู้ลมเข้า ลมออก มีจิตเท่านั้นจะเป็นผู้รู้ มีสติเท่านั้นคอยดูแล มิให้อารมณ์ใดๆ เล็ดรอดเข้ามาสู่ใจ โยมต้องเข้านะว่า อารมณ์ใจ นี้ถ้าถูกเปิดประตูให้หลั่งไหลเข้ามาเมื่อไหร่ จิตที่สงบอยู่ ถ้าสงบไม่เต็มที่จะกระเพื่อม เหมือนน้ำในโอ่ง ขณะเดียวกันสิ่งที่จะตามมาก็คืออารมณ์ขุ่นมัวด้วยตะกอนหัวใจ มันจะมาปิดหนทางความดีอีกให้มืดมนน่าเสียดาย

โยมมารดา

โรคร้ายหายได้ด้วยการภาวนา

โยมมารดาของท่านพยายามฝึกอบรมอยู่ ๑ ปี กำหนดลมหายใจเพ่งดูอยู่เฉย ลมออกก็รู้ ลมเข้าก็รู้มัน มีความรู้สึกทางจิต เป็นสายหมอกขาว ๆ ผ่านไปมาอย่างนั้น ข้อสำคัญความเป็น โรคระบบหายใจ นี้อย่าไปกังวลกับขี้มูก ขี้ตานะ มันจะไหลออกไหลเข้ามากมายก็ช่างมัน มันจะปวดแสบ มันจะอึดอัด ก็ปล่อยอารมณ์เท่านั้น อย่ากังวล อย่าเที่ยวคลำหาผ้าเช็ดหน้า มาเช็ดให้วุ่นวาย ทำใจเป็นปกติปล่อยวาง เพราะการปฏิบัติเช่นนี้ มิใช่เป็นเรื่องน่าเกลียด น่าอาย และมิใช่เรื่องสกปรกอะไร มีบางคนมาถามว่า เวลานั่งสมาธิภาวนา เกิดมีน้ำลายไหล ออกมาจากปากจนรู้สึกตัวเองต้องคอยเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดอยู่ตลอดเวลา เพราะเวลาจิตรวมลง พอถอนออกจากสมาธิแล้ว น้ำลายไหลยืดเปียกเสื้อผ้า น่าเกลียดจริงเลย น่าระอายด้วย ท่านเคยสอนว่า เรื่องของสังขารไม่น่าจะเป็นเรื่องที่โยมคิด ไม่น่าอายอะไรเลย ดีเสียอีก ให้มันไหลออกให้หมดมันจะได้สบาย วันต่อไปจะได้นั่งสบาย สังขารมีดิน น้ำ ไฟและลม จะไปห้ามธาตุทั้ง ๔ มันมิให้ไหลเวียนจะทำได้หรือ ถ้าธาตุทั้ง ๔ มันหยุดก็หมดกันสิ ตายเท่านั้นเองปล่อยมันไป จะไหลท่วมกุฏิก็ช่างมัน เราเอาดีทางจิตใจ มิได้เอาดีตรงสังขารร่างกาย ถ้าใจมีอำนาจ สังขารร่างกายก็เป็นบ่าวคอยรับใช้ จิตเป็นที่รองรับ จิตสบายกายก็สงบเหมือนกัน ท่านสอนโยมมารดาเอาชนะจิตใจได้ ก็ภายในเวลา ๑ ปีนั้น โรคหืดหอบก็หายไปเลย โยมมารดาอยู่บำเพ็ญภาวนากับท่าน ๑๐ ปี ในปี พ.ศ.๒๕๒๐ ก็กลับไปบ้านเดิม ที่เพชรบูรณ์แล้ว ก็เสียชีวิตลงในถิ่นกำเนิดของท่าน นับได้ว่าบุญคุณของโยมมารดา ท่านได้ตอบแทนอย่างสมบูรณ์แล้ว


เป็นผู้กตัญญูรู้คุณ

เท่าที่ได้ทราบจากครูบาอาจารย์ตลอด ถึงพระภิกษุสงฆ์รุ่นเดียวกับท่านมักจะกล่าวเสมอๆ ว่าท่าน พระนพีสีพิศาลคุณ ท่านเป็นพระเสมอต้น เสมอปลาย จิตใจดีมีความกตัญญูมาตั้งแต่บวช นิสัยนั้นจนได้เป็นพระมหาทองอินทร์ ได้เป็นพระอาจารย์ทองอินทร์ ได้เป็นหลวงพ่อทองอินทร์ ได้เป็น พระครูสันตยาธิคุณ และได้เป็นพระนพีสีพิศาลคุณ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สำหรับครูบาอาจารย์ของท่านคือหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ท่านจะปฏิบัติตน เหมือนลูกปฏิบัติพ่อ ท่านคอยสังเกต สิ่งที่ขาดตกบกพร่องแล้ว ก็หาสิ่งเหล่านั้นมาถวายอยู่เสมอๆ สิ่งใดที่ญาติโยม นำมาถวาย เป็นสิ่งของที่มีคุณค่าเช่นเก้าอี้พับได้ สำหรับพักผ่อนอิริยาบถ ท่านจะไม่ยอมเก็บไว้ จะต้องนำไปถวายพระอาจารย์ทุกอย่าง แต่สุดท้าย ก็ได้มีโยมนำมาถวายท่านอีก นับเป็นความดีที่สนองตอบอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร มักจะมาปรากฏเช่นครั้ง เมื่อท่านไปบำเพ็ญธรรม อยู่ในถ้ำ พอท่านนั่งสมาธิจิตแส่ส่ายออกไปภายนอก จะปรากฏนิมิตหลวงปู่สิม พุทธาจาโรก็จะมาเตือนสติทางนิมิตว่า ใช้ไม่ได้แล้ว จะใช้ความคิด อย่างนั้นไมได้ผิดทางเปลี่ยนเข้าจิตใจ


เวลาอบรมธรรม

ขณะที่ท่านพระนพีสีพิศาลคุณมีชีวิตอยู่ ท่านจะอบรมบำเพ็ญภาวนาสอนพระภิกษุสามเณรในช่วงทำวัตรสวดมนต์เย็นทุกๆ ครั้ง ทุกวัน ส่วนญาติโยมอุบาสก อุบาสิกา ท่านจะอบรมสั่งสอนกรรมฐานด้วยตัวของท่านเองในวันพระถึงสามเวลาดังนี้ เช้า เวลา ๐๙.๐๐ น. ถึง ๑๐.๐๐ น. บ่ายเวลา ๑๕.๐๐ น.ถึงเวลา ๑๖.๐๐ น.สลับกับเดินจงกรมรอบพระเจดีย์ เย็นเวลา ๒๐.๐๐ น.ถึงเวลา ๒๑.๐๐ น. จนกระทั่ง ท่านอาพาธ ไม่สามารถกระทำการอบรมได้ครบทั้ง สามเวลาแต่ก็ยัง ฝืนสังขารมาอบรม พระภิกษุสามเณรและญาติโยมอยู่เสมอด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมั่นคง

พระนพีสีพิศาลคุณ อบรมธรรม

การสร้างสันติเจดีย์

ท่านและศรัทธา ญาติโยมได้ช่วยกันสร้าง”สันติเจดีย์” โดยประยุกต์แบบมาจากเจดีย์กู่กุด จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นแบบสุวรรณจังโกฎิเจดีย์ มีลักษณะ ทรงกรวยสี่เหลี่ยมเป็นชั้นห้าชั้น มีซุ้มจระนำทั้งหมด หกสิบซุ้ม ซึ่งมีพระพุทธรูป หกสิบองค์ เป็นศิลปะละโว้หริภุญไชย และถอด แบบมาจาก เจดีย์เหลี่ยม วัดป่าเจดีย์เหลี่ยม ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเจดีย์ศิลปที่ได้รับอิทธิพลมาจากมอญในพุกาม

โดยความเห็นชอบของพระนพีสีพิศาลคุณ ได้ประยุกต์รูปแบบสันติเจดีย์ให้เป็นเจดีย์ที่ออกแบบให้สืบทอดความงามด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของอาณาจักรล้านนา เป็นแบบเจดีย์เหลี่ยมฐานกว้าง ๑๒ x ๑๒ เมตร สูง ๓๑ เมตร

มีการวางศิลาฤกษ์โดยพันตำรวจเอกนิรันดร ชัยนาม ผู้ว่าราชการจังหวัด เชียงใหม่ เมื่อวันอังคารที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เวลา ๘.๑๕ น. โดยมีพระราชวินยาภรณ์ (พระพุทธพจนวราภรณ์ จันทร์ กุสโล ) วัดเจดีย์หลวง.เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

ในแต่ละชั้นของ สันติเจดีย์มี ซุ้มจระนำ ด้านละ ๓ ชุด ตั้งแต่ ชั้นที่๑ ถึงชั้นที่ ๕ ชั้นที่๑ เป็นที่ประดิษฐานพระปางห้ามพระสมุทร ชั้นที่๒ เป็นที่ประดิษฐานพระปางอุ้มบาตร ชั้นที่๓เป็นที่ประดิษฐานพระปางห้ามญาติ ชั้นที่๔ เป็นที่ประดิษฐานพระปาง รำพึง ชั้นที่ ๕ เป็นที่ประดิษฐาน พระปางประทับยืน ภายในเจดีย์ชั้นที่ ๒ เป็นที่เก็บน้ำดื่ม น้ำใช้ภายในวัด ที่ปั๊มขึ้นมาจากบ่อบาดาล ใช้เวลาสร้าง ๕ ปี ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๔ - พ.ศ. ๒๕๑๙สิ้นค่าใช้จ่าย ๘๙๓,๓๐๔.๗๕ บาท

วันเสาร์ที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยพระราชวินยาภรณ์ (พระพุทธพจนวราภรณ์ จันทร์ กุสโล ) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหารในปัจจุบัน เป็นประธานทำบุญยกยอดฉัตรสันติเจดีย์

ระหว่างวันที่๑๔-๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ จัดงานทำบุญฉลองสันติเจดีย์ วันที่๑๔มีนาคม มีการเจริญพระพุทธมนต์ และประกอบพิธีเบิกเนตรพระที่สร้างใหม่ตรงกลางเจดีย์หันหน้าออก ๔ ทิศ

ในวันจันทร์ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เวลา ๑๙.๐๐น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโนมหาเถระ)เสด็จเป็นองค์ประธานการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และปูชนียวัตถุไว้ที่ยอดและในองค์สันติเจดีย์ เจริญพระพุทธมนต์และทรงแสดง พระธรรมเทศนาอบรมกรรมฐาน ๑ กัณฑ์

เช้าวันที่๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ทำบุญตักบาตรและถวายสันติเจดีย์และพระพุทธรูปทั้งหมด

สันติเจดีย์
ถวายสังฆทาน

 


[1] | [2][3] |  [4] | [5]

 
     
     
  ขึ้นข้างบน
วัดสันติธรรม ต.ช้างเผือก อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๓๐๐
โทร. ๐๕๓-๒๒๑๗๙๒  ๐๘-๗๑๙๓-๓๑๖๙  ๐๘-๖๑๘๗-๓๙๔๒ และ ๐๘-๑๖๐๒-๗๕๐๐