พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
๒๔๖๓ - ๒๕๒๓
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
นามเดิม
จวน นรมาส
เกิด
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก
บ้านเกิด
บ้านเหล่ามันแกว บ้านเลขที่ ๒๘ หมู่ที่ ๑๒ ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี
บิดามารดา
นายลา และนางแหวะ (สกุลเดิม วงศ์จันทร์) นรมาส
พี่น้อง
รวม ๗ คน ท่านเป็นคนที่ ๖
อุปสมบท
อายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ พ.ศ. ๒๔๘๖ (มหานิกาย) ที่วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอาจารย์บุ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาแจ้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า “ กลฺยาณธมฺโม”
ญัตติเป็นพระธรรมยุต เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ณ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี ท่านพระครูทัศนวิสุทธิ (มหาดุสิต เทวิโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา “กุลเชฏโฐ” แปลว่า พี่ชายใหญ่ที่สุดของวงศ์ตระกูลนี้
เรื่องราวในชีวิต
เมื่ออายุ ๑๔ ปี ท่านได้หนังสือสอนกรรมฐานของพระอาจารย์สิงห์ ขัตยาคโม จากพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติตามจนจิตได้เข้าถึงสมาธิมีความสุขมากมีเวลาว่างเมื่อไรท่านมักนั่งสมาธิ เมื่อท่านแตกเนื้อหนุ่มท่านได้เห็นหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเปลือยอกผ่านหน้าบ้านเพื่อเข้าไปถ่ายในป่าละเมาะทุกวัน จึงเกิดเห็นหน้าอกเขาสวยรู้สึกหญิงคนนั้นน่ารักไปหมดทั้งตัว แต่ด้วยอุปนิสัยทางธรรมทำให้เกิดอุบายขึ้นมาโดย ท่านแอบตามไปดูอุจจาระของหญิงสาวนั้นและได้พิจารณาอุจจาระของสาวนั้นและสาวอื่นๆ จนปลงความกำหนัดได้ เห็นว่าร่างกายนี้ที่หลงกันว่าสวยงามแต่สภาพที่แท้จริงก็เป็นของโสโครก ท่านจึงเกิดเบื่อหน่ายในเพศฆราวาสและได้ออกบวช
พ.ศ. ๒๔๘๘ ได้ฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ศึกษากับท่านจนจุใจ เพียงห้าพรรษา ท่านก็ได้รับการพยากรณ์จากท่านพระอาจารย์มั่น ว่า ท่านมีกาย วาจา ใจ สมควรที่จะได้บรรลุ นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้ที่ชอบปลีกวิเวกไปบำเพ็ญสมณะธรรมตามป่าเขา เงื้อมถ้ำและพลายหิน ทั้งในภาคอิสานและภาคเหนือรวมถึงประเทศพม่า ท่านจึงได้สร้างวัดภูทอก และเคยร่วมธุดงค์พร้อมกับจำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล จิตของท่านมีความโลดโผนพิสดารอยู่มาก และเป็นที่เชื่อกันว่าท่านทรงอภิญญาหก
ท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาธรรมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวอำเภอบึงกาฬและผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดท่านจะได้รับการอบรมธรรมจากท่าน ป่าดงพงพีหลายแห่ง ได้กลายเป็นไร่นาสาโท ยิ่งท่านได้นำชาวบ้านสร้างถนนหนทาง สะพาน สระน้ำ ฝาย อ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ไร่นาสาโทเหล่านั้นก็อุดมสมบูรณ์ขึ้น ด้วยความเมตตาธรรมอันหาประมาณมิได้ ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านได้รับกิจนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ จนประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทำให้ท่านและเหล่าพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีก ๔ รูป ถึงแก่มรณกรรมสร้างความโศกเศร้าเสียใจแก่พุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง
มรณภาพ
วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก สิริอายุได้ ๕๙ ปี ๙ เดือน ๑๘ วัน ๓๘ พรรษา
ข้อมูลพิเศษ
* ท่านพาแม่ท่านมาบวชเป็นแม่ชีจนบรรลุอนาคามี (หลวงปู่ขาวเป็นบอก)
ธรรมโอวาท:
“..ทีนี้ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนานี้ หวังลาภสักการะหรือหวังลาภหวังยศ หวังความสรรเสริญ หวังความสุขนั้น
ยังไม่จัดเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ยังไม่พ้นโลก ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เมื่อเป็นผู้ทีมุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหา อันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัยให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป ให้เกิดอยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้จึงเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ถ้าผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา คือผู้แสวงบุญ มุ่งหวังที่จะต้องทำลายแต่กิเลส ตัณหา อันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัย เป็นตัวกรรมวัตร กิเลสวัตร คือเป็นตัวสมุทัย เป็นตัวให้เกิดทุกข์ นี้จึงจะพ้นไปเสียจากโลกทั้ง ๓ ได้…”
“....ให้บำเพ็ญแต่กรรมที่ดี กรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล มีบำเพ็ญทานให้เกิดให้มีขึ้น รักษาศีลให้เกิดให้มีขึ้น ภาวนาให้เกิดให้มีขึ้น ถ้าเราเป็นผู้เชื่อต่อกรรมและผลของกรรมอย่างนี้ ย่อมปฏิเสธกรรมอันชั่ว เลิกละกรรมอันชั่ว ย่อมยินดีบำเพ็ญแต่กรรมที่ดีให้เกิดให้มีขึ้น บำเพ็ญทานให้มี บำเพ็ญศีลให้มี บำเพ็ญภาวนาให้เกิดให้มีขึ้น ต่อแต่นี้ไป ผลของกรรมดีที่เราได้บำเพ็ญไว้ ถ้าเราตายไป เราก็มีสุคติ โลกสวรรค์เป็นที่ไป ถ้าเราขยันขันแข็งหมั่นเพียรไม่ท้อถอย ก็อาจจะได้สำเร็จนิพพานสมบัติโดยไม่มีทางสงสัย...”