ข้อกฏิกาสงฆ์ สัมมาปฏิบัติ (โดย พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม)
ข้อกติกาสงฆ์สัมมาปฏิบัติ
ว่าด้วยข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
รจนาโดย พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขนฺตยาคโม)
และท่านพระอาจารย์มหาปิ่นปญฺญาพโล (ปธ.5)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
นำเสนอโดย อมรเทโว ภิกขุ www.santidham.com
9 กุมภาพันธ์ 2554
ภาพประกอบ จาก Internet
ข้อกติกาสัมมาปฏิบัติ สำหรับพระธุดงคกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม พระเถระผู้เป็นศิษย์รุ่นแรกของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล (ปธ.5)พระน้องชายของท่าน วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ได้รวบรวมและเรียบเรียงข้อสัมมาปฏิบัติสำหรับพระธุดงคกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ไว้เป็นหนังสือ 1 เล่ม ซึ่งมีข้อปฏิบัติต่าง ๆ ดังนี้
1.ข้อปฏิบัติดีปฏบัติชอบ
พระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบรมศาสดาจารย์เจ้าของเราทั้งหลาย พระองค์ทรงพระมหากรุณาใหญ่ ในหมู่เวไนยสัตว์ทั้งปวงยิ่งนัก คือเบื้องต้น พระองค์ทรงกระทำพระองค์เองให้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ คือ ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเสียก่อน และทรงพระมหากรุณาทรงตรัสพระสัทธรรมเทศนา สั่งสอนให้พุทธบริษัททั้งปวง พระทำความเพียรเพื่อพ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสาร จึงทรงวางระเบียบการทั้งปวงไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นอเนกปริยาย ให้พุทธบริษัททั้งหลายได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตาม
กล่าวโดยย่อ พระองค์ทรงสั่งสอนให้บำเพ็ญศีล บำเพ็ญสมาธิ บำเพ็ญปัญญา ให้ถึงพร้อมบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท ด้วยวิธีเจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน กระทำน้ำใจให้เป็นไป ในกระแสหนทางแห่งอริยมรรคอริยผล จนกว่าจะเอาตนพ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสารได้จริง ๆ เมื่อยังไม่พ้นจากทุกข์อยู่ตราบใด ก็ให้อุสาหพยายาม กระทำความเพียรอยู่อย่างนั้น ยาวะชีวิต ตราบเท่าสิ้นชีวิต
ก็แลเมื่อพระพุทธองค์ ทรงตั้งน้ำพระทัยมุ่งหวังประโยชน์ถึงเพียงนี้ จึงสมควรยิ่งนักที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัท จะพึงปฏิบัติตามโดยไม่ประมาท
บัดนี้จะว่าด้วยพระภิกษุสามเณร ผู้มุ่งมาเพื่อบำเพ็ญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานต่อเป็นลำดับไป ว่าด้วยเจตนาของพระภิกษุสามเณรผู้มุ่งมาต้องเป็นผู้หวังดีจริง ๆ คือ
เป็นผู้หวังความพ้นจากทุกข์และหวังเพื่อบำเพ็ญกิจของพระพุทธศาสนาจึงต้องสละความหวังความอาลัย ในฆราวาสเหย้าเรือน ตลอดจนสละชีวิตเลือดเนื้อมาเพื่อทรมานตน ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสาร จึงต้องประกอบข้อปฏิบัติพระพุทธศาสนา ด้วยความเป็นผู้ไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง เช่นไม่ห่วงบ้านเกิดเมืองนอน และญาติวงศ์พี่น้องของตนเป็นต้น ในเวลาที่เข้ามาอยู่ในหมู่ในคณะแล้วก็ต้องเป็นผู้ยอมสารภาพ ประพฤติตามระเบียบธรรมวินัยที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ทำความโต้แย้งหรือทุ่มเถียงกัน ด้วยธรรมวินัย ต้องเป็นผู้ศึกษาธรรมวินัยด้วยความเคารพ
พระภิกษุผู้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐาน อาจารย์หนึ่ง ๆ พึงเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ในธรรมวินัย และรู้จักสังเกตนิสสัยใจคอของพระภิกษุสามเณรที่เข้ามาใหม่ ถ้าเห็นนิสสัยใจคอมีหลักฐานเพียงพอ สมควร ที่จะรับไว้จึงรับเข้าหมู่คณะ ถ้าเป็นคนหาหลักฐานมิได้ ไม่สมควรที่จะรับไว้ได้ ก็ไม่ต้องรับเสียเลยเป็นอันขาด
ดังข้อความที่จะกล่าวต่อไปนี้
1) ถ้าภิกษุสามเณรถือลัทธิผิด ๆ มาแล้ว เช่น ถือ ลัทธิศาสนาพราหมณ์ คือ เคยเป็นหมอผีหมอมนต์มาแล้ว เป็นต้น ต้องแนะนำสั่งสอนให้ละลัทธิที่ผิดนั้นเสียแล้วให้ประพฤติตนในลัทธิที่ชอบ ถ้าเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายดังนี้ จึงควรรับไว้ ให้บำเพ็ญธุดงคกรรมฐานต่อไป
2) ถ้าพระภิกษุสามเณร เป็นผู้มีความเห็นผิดมาแต่เดิมแล้ว และถือทิฏฐิมานะแข็งกระด้างมาก เช่น เห็นว่าสมัยนี้ไม่ใช่สมัยที่จะบำเพ็ญธุดงค์กรรมฐานถึงแม้จะบำเพ็ญไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนี้เป็นต้น พึงว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอน ให้ละทิฏฐิมานะเช่นนั้นเสีย ถ้าละไม่ได้ก็ไม่ควรรับไว้เลย แต่ถ้าละทิฏฐิเช่นนั้นได้แล้วก็ควรรับไว้ บำเพ็ญธุดงคกรรมฐานต่อไป
3) ถ้าพระภิกษุสามเณร เป็นผู้ว่ายากสอนยากและตั้งเจตนาผิด ๆ มาแล้ว ด้วยความเป็นผู้ประมาทต่อข้อปฏิบัติ คือ เป็นผู้หวังร้าย ไม่ใช่เป็นผู้หวังดี เช่น หวังเพื่อจะทำลายพระคณะกรรมฐาน ให้แตกสามัคคีกันก็ดี ให้ท้อถอยจากข้อปฏิบัติก็ดี มาทำความฝ่าฝืนหมู่คณะหรือพระอาจารย์ แห่งพระกรรมฐานก็ดีเหล่านี้เป็นต้น ไม่ควรรับไว้ในหมู่คณะแห่งพระกรรมฐานเลยเป็นอันขาด
4) หน้าที่ของพระภิกษุสามเณรผู้บำเพ็ญธุดงค์กรรมฐาน ต้องเป็นผู้หวังดีต่อพระพุทธศาสนาจริงๆ คือ หวังความพ้นจากพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร และสนใจใคร่ธรรมใคร่วินัย แสวงหาวิโมกขธรรม สันติสุขในพระพุทธศาสนา และหวังเพื่อเชิดชูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปตลอดสิ้นชีวิต
5) เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน และมีขันติธรรม อดทดต่อความทุกข์ความยาก และความลำบากตรากตรำ ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเป็นผู้เห็นแก่พระพุทธศาสนาจริง ๆ
6) เป็นผู้มีน้ำใจอันซื่อสัตย์สุจริตต่อพระศาสนาและครูบาอาจารย์ ตลอดถึงหมู่คณะ อ่อนน้อมยอมตนให้หมู่คณะว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนได้ในธรรมวินัยเมื่อได้มาอยู่ในหมู่ในคณะนี้แล้ว จะหลีกหนีไปก็ไม่ลอบลักดักหนีไป ให้ล่ำลาครูบาอาจารย์ของตนก่อนเมื่อทานอนุญาตแล้วจึงไป ถ้าท่านไม่อนุญาตก็ไม่ต้องไป
7) ต้องเป็นผู้แสดงความสามัคคี 3 ประการ คือ กายสามัคคี จิตตสามัคคี ทิฏฐิสามัคคี ต่อหมู่ต่อคณะอยู่เสมอ ในเวลาทำกิจวัตร 10 ประการ มีการปัดกวาด เป็นต้น ก็ต้องพร้อมเพรียงกันทำ ในเวลารักษาธุดงควัตร 13 ประการ มีการเที่ยวบิณฑบาต และฉันบิณฑบาต เป็นต้น ก็ต้องพร้อมเพรียงกัน ในเวลาประกอบขันธวัตร 14 ประการมีอาจาริยวัตรและอุปัชฌายวัตร เป็นต้น ก็ต้องสามัคคีกัน
8) ต้องเป็นผู้ไม่กระทำการทุจริตต่อหมู่ต่อคณะทั้งในที่ต่อหน้าและลับหลัง และไม่ประพฤตินอกรีตนอกรอย นอกธรรมนอกวินัย
9) ต้องประชุมปรึกษาธรรมวินัย และอุบายธรรมในใจกันอยู่เนื่องนิตย์ เมื่อประชุมก็ให้พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกก็ให้พร้อมเพรียงกันเลิกและทำความเคารพต่อที่ประชุมเสมอ ถ้ามีเหตุจำเป็นหรือกิจจำเป็น ต้องบอกลากับหมู่คณะเสมอ
10) ต้องเป็นผู้มี หิริและโอตตัปปะ สะดุ้งหวาดเสียวต่อบาปกรรมประจำสันดานเป็นนิตย์ มีปกติสำรวมในพระปาฏิโมกข์ และสำรวมอินทรีย์พิจารณาปัจจเวกขณะในเวลาบริโภคปัจจัย 4 มีอาชีวปาริสุทธิศีล นุ่งสบงห่มจีวร เป็นปริมณฑลเรียบร้อยดี เวลาเข้าไปในละแวกบ้าน ต้องซ้อนผ้าสังฆาฏิกับอุตตราสงค์ (จีวร) ห่มให้เป็นปริมณฑลเสมอเว้นเสียแต่มีเหตุจำเป็นหรือมีอันตราย
11) ต้องเป็นผู้มีอาจาระ คือ มารยาทอันดีงามและมีโคจาระ คือ ที่เที่ยวไปอันสมควรแก่สมณสารูปเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายอันมีประมาณน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายโดยความไม่ประมาท
12) ต้องเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที ต่อพระพุทธศาสนาทุกเมื่อ ครั้นเมื่อศาสนาแนะนำให้ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างใดใด ต้องช่วยกันทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างนั้นนั้นทุกประการไป โดยความเคารพ และหวังความเจริญแก่พระพุทธศาสนาตลอดไป
13) ต้องเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทคุณพระรัตนตรัย และไม่ประมาทคุณูปการของพระอาจารย์ ตลอกถึงหมู่คณะของตนและไม่ประมาทชาติชีวิตของตน จำต้องทำตนให้ตั้งอยู่ในความเคารพเสมอ
14) ต้องทำใจของตนให้เป็นพรหม คือ ทำใจให้เป็นใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด และทำใจให้ยิ้มแย้มแจ่มใสเต็มไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แก่ตนและบุคคลผู้อื่นทั่วไปเสมอ
15) เมื่อจะพูดจากันด้วยธรรมวินัย ต้องพูดกันด้วยความเคารพเสมอ คือ ต่างคนต่างต้องรักษาเสขิยธรรม ให้ถูกต้องตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วทุกประการ
16) ต้องเป็นผู้ชำนาญในมคธภาษา ท่องบ่นให้ได้ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สวดมนต์ไหว้พระและพรหมวิหาร 4 ตลอดถึงเจ็ดตำนาน และขัดตำนาน และพระปาฏิโมกข์ ในภายใน 5 พรรษา
17) เมื่อเห็นอาจารย์ หรือพระเถระผู้ใหญ่กระทำอะไรด้วยกาย พูดด้วยวาจาใกล้ต่อความผิด หรือใกล้ต่ออาบัติโทษ จะทักทายว่ากล่าวทีเดียวก็ไม่สมควร ต้องทำทีเป็นถามหรือศึกษาต่อท่านด้วยความเคารพเสมอ
18) ต้องเป็นผู้ปกครองตนเองได้ด้วยธรรมวินัย คือ ไม่ฝ่าฝืนธรรมวินัย และไม่ฝ่าฝืนครูบาจารย์ตลอดถึงหมู่คณะของตนเองเสมอ
19) ลาภที่ได้มาโดยทางที่ชอบ ต้องถือว่าเป็นลาภที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจพระพุทธศาสนา สำหรับบำรุงหมู่คณะผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนาทั่ว ๆ ไป แต่ก็แล้วแต่เจ้าของผู้ได้มา ถ้าสมควรแจกก็ต้องแจกตามสมควร เว้นเสียแต่ของสงฆ์ที่เป็นครุภัณฑ์ จะแจกกันไม่ได้เลยเป็นอันขาด จำเป็นต้องรักษาไว้ไม่ให้เสื่อมสูญอันตธานไป
20) ต้องรักษาเครื่องใช้อันเป็นสาธารณประโยชน์ทั่วไปในหมู่ในคณะ เช่น กุฏิ วิหาร ศาลา โรงธรรม โรงฉัน โบสถ์ อาราม เสื่อ หมอน เตียง ตั่ง ถาด โถ ถ้วย ชาม ตุ่มน้ำ ถังน้ำ ครุและถังตักน้ำ ถ้วยแก้ว ชามแก้ว เป็นต้น ให้สะอาดและปราศจากอันตราย เมื่อตนได้เอาไปใช้ หรือเห็นตกหล่นอยู่ในที่ใด ๆ ต้องรีบเก็บทันที อย่าให้เสียหายได้เป็นอันขาด ถ้าทำให้เสียหายต้องเป็นโทษ ห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามสวรรค์ ห้ามนิมพานถ้าปฏิบัติได้ก็เป็นบุญเป็นกุศลแก่ตนจริง ๆ
21) ต้องเป็นผู้มีเมตตาจิต เอ็นดู กรุณาสงเคราะห์กันและกันด้วยธรรมวินัยข้อปฏิบัติที่ดีที่ชอบตลอดการเจ็บป่วยไข้ ถ้าเกิดมีแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ต้องรีบช่วยกันพยาบาลจนกว่าจะหาย เว้นเสียแต่เหลือวิสัย
22) ต้องเป็นผู้ฉลาด ในการปฏิสันถารต้อนรับพระภิกษุสามเณรอาคันตุกะ ผู้มาแต่ทิศต่าง ๆ ด้วยเสนาสนะ ที่นั่ง ที่นอน น้ำใช้ น้ำฉัน และต้อนรับแขกคนคฤหัสถ์หญิงชายน้อยใหญ่ตามสมควรด้วยอามิสปัจจัยและด้วยการแสดงธรรมเทศนา ให้ได้รับความเชื่อความเลื่อมใสพอใจ จะประพฤติปฏิบัติพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไป และให้ต้อนรับเฉพาะห้องรับแขกเท่านั้น ไม่ควรให้แขกเข้าไปพูดจาในห้องนอน เว้นเสียแต่อาพาธ หรือสมัยพิเศษ
23) ต้องเป็นผู้ฝึกหัดอักขระฐานกรณ์ในมคธภาษา ให้ชำนาญคล่องแคล่ว ถูกต้องดีเรียบร้อยบรรพชาและอุปสมบทด้วยมคธภาษาที่ถึงพร้อมบริบูรณ์ ด้วยสมบัติ 5 ประการ คือ วัถุสมบัติ 1 สีมา-สมบัติ 1 ญัตติสมบัติ 1 อนุสาวนะสมบัติ 1 ปริสสมบัติ 1 จึงไม่ขัดข้องแก่ทางมรรค ทางผล ทางสวรรค์นฤพาน
24) ต้องฝึกหัดให้ชำนาญ ในการตัดและเย็บย้อม ผ้าสบงจีวรและผ้าสังฆาฏิ สำเร็จเป็นขันธ์ 5-7-9-11 ถูกต้องตามพุทธานุญาต ด้วยฝีมือของตนตลอดถึงการตัดเย็บย้อมผ้านิสี และถลกบาตรและย่ามใช้เองได้
25) ผู้ใดประมาทและล่วงเกินต่อระเบียบนี้ต้องลงโทษพุทธอาญา ตามควรแก่ความผิดของตนเว้นเสียแต่พลั้งเผลอ ก็ให้รีบกลับทำความรู้สึกในความผิดของตน แล้วแสดงต่อหมู่คณะของตนทันทีเพื่อสำรวมระวังต่อไป
2. ข้อปฏิบัติในกุฏีและศาลา
พึงเป็นผู้ปฏิบัติดี ในกุฏีวิหารและศาลาโรงธรรม โรงฉัน ดังข้อปฏิบัติต่อไปนี้
1) พึงตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ ไว้ประจำกุฏีทุกๆ กุฏี และประจำศาลาโรงธรรมโรงฉันด้วย ถ้าน้ำหมดก็ให้ตักมาใส่ไว้ ให้มีประจำอยู่เสมอ อย่าให้ขาดได้
2) พึงรักษาความเคารพต่อพระธรรมวินัย ในเวลาที่จะขึ้นไปบนกุฏีวิหารหรือศาลาโรงธรรมโรงฉันนั้นเมื่อมาถึงเชิงบันไดแล้ว ถ้าสวมรองเท้าก็ให้ถอดรองเท้าออกจากเท้า แล้วเคาะรองเท้าให้ดินหลุดออกหมด ขัดถูเช็ดเสียให้สะอาด เก็บไว้ในที่สมควร เสร็จแล้วจึงขึ้นไปบนกุฏีวิหาร ศาลา โรงธรรม โรงฉัน
3) ถ้าไม่ได้สวมร้องเท้ามา ก็ให้ล้างเท้าด้วยน้ำใช้ เช็ดเท้าให้สะอาดเสียก่อน จึงขึ้นไปบนกุฏีวิหารศาลาโรงธรรมโรงฉัน อย่าเอาพื้นเท้าที่เปื้อนเปรอะเลอะเทอะ(ชึ้นบนศาลาโรงธรรมโรงฉัน) เป็นโทษ พระพุทธเจ้าทรงห้าม ปรับอาบัติทุกกฎไว้แล้วทุก ๆ ก้าวย่าง
4) จงรักษาความสะอาด ในกุฏีวิหารศาลาโรงธรรมโรงฉันเสมอ คือ ให้หมั่นชำระปัดกวาด และล้างด้วยน้ำเช็ดถูด้วยผ้า ให้สะอาดอยู่เป็นนิตย์ แต่เวลาล้างด้วยน้ำนั้น ไม่ต้องเทน้ำสาดไปให้เปื้อนเกินประมาณ พึงเอาผ้าชุบน้ำให้เปียกถูไปตามพื้นกระดานทั่ว ๆ ไป เท่านี้ก็สะอาดพอแล้ว จงหมั่นถูเสมอเถิด
5) จงเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่มีอยู่ในกุฏีวิหารศาลาโรงธรรมโรงฉัน ไว้ให้เป็นที่เป็นฐาน อย่าให้กระจัดกระจายรกรุงรัง และรักษาสิ่งของเหล่านั้นให้สะอาดอย่าให้เยได้ เมื่อจะเอามาใช้ก็เอาง่าย หายก็รู้ดูก็งามตา
6) จงเก็บและรักษาสิ่งของที่ทายกทายิกานำมาไว้ประจำกุฏีหรือประจำศาลา เช่น เสื่อ หมอน ถาด โถ ถ้วย ชาม ถ้วยน้ำร้อน แก้วน้ำเย็น คนโทน้ำ มุ้ง กลด สบง จีวร ผ้าปูนั่ง ผ้าปูนอน ผ้าห่มหนาว กาน้ำ ตุ่มน้ำ เหล่านี้เป็นต้น จัดได้ชื่อว่าเป็นของสงฆ์ทั้งนั้น อย่าถือเอาไปเป็นสมบัติของตน เป็นโทษที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามและปรับโทษไว้แล้ว ถ้าถือเอาของสงฆ์ที่เป็นครุภัณฑ์ ปรับอาบัติถุลลัจจัย เป็นสัคคาวรมรรคคาวรห้ามมรรคห้ามผล
7) อย่าเอาการงานที่หยาบ ๆ และสกปรกขึ้นไปทำบนกุฏีหรือศาลาแห่งใดแห่งหนึ่ง ให้กระทบครูดสีบอบบี้เสียหาย และเปื้อนเปรอะเลอะเทอะไม่สดสวยงดงาม ขาดความเคารพไม่ดี
8) ระวังอย่าติดไฟเตาอั้งโล่และเตาสูบบนกุฏีวิหาร และศาลาโรงธรรมโรงฉัน เพื่อสถานที่จะได้สะอาดและห่างจากอันตรายด้วย
9) อย่าต้มน้ำร้อน และทำอาหารการกินบนกุฏีหรือศาลาโรงธรรมโรงฉัน เป็นการไม่เคารพต่อธรรมวินัย และไม่เคารพต่อข้อปฏิบัติที่ตนปฏิบัติอยู่ทุกวัน
10) อย่าฉันอาหารบิณฑบาตในกุฏีหรือในที่นอนของตน เว้นเสียแต่ป่วยหรือมีเหตุจำเป็น ถ้าว่าโดยปกติธรรมดาของผู้ปฏิบัติ ต้องรวมกันฉันที่โรงฉันแห่งเดียว
11) เวลานอน จงเอาผ้าของตนปกคลุมหุ้มหมอนเสียก่อนจึงนอนทุก ๆ คราวไป
12) อย่าเขียนกระดานพื้นฝาผนังและต้นแห่งกุฏีและศาลาโรงฉัน
13) ต้องบูรณะเสนาสนะสงฆ์ และของสงฆ์ที่ทรุดโทรม
3. ข้อวัตรในโรงไฟ
1) ต้องชำระปัดกวาดโรงไฟให้สะอาดเสมอ
2) ต้องแสวงหาฟืนมาไว้ในโรงไฟ ให้มีประจำโรงไฟเสมอ ไม่ให้ขาดได้
3) เมื่อเวลาเข้าไปทำธุระข้อวัตรต่าง ๆ มีต้มน้ำร้อนในโรงไฟ เป็นต้น ต้องเข้าไปด้วยความสำรวมระวังและเมื่อทำธุระสำเร็จแล้ว ต้องให้รีบเก็บสิ่งของที่ตนเอาใช้ในโรงไฟ และชำระปัดกวาดเสียให้เรียบร้อยอย่าทิ้งของให้เกลื่อนกลาดรกรุงรัง ขาดความเคารพนับถือธรรมวินัยไม่ดี
4. ข้อวัตรปฏิบัติในเว็จจกุฏี (ห้องน้ำ)
1) ให้ตั้งน้ำชำระไว้ประจำฐานเสมอ ถ้าขาดก็ต้องตักมาใส่ไว้ และให้ทำไม้ชำระไว้ประจำฐานเสมอ ไม่ให้ขาดสักเวลา
2) ให้รักษาความสะอาดในเว็จจกุฏี คือหมั่นปัดกวาดเสมอ ทุกคราวที่เข้าไปในฐานและเวลาจวนค่ำทุก ๆ วัน ต้องไปปัดกวาดบริเวณฐานโดยรอบเสมออย่าให้สกปรกได้ทั้งข้างบนข้างล่าง
3) เวลาไปถ่ายอุจจาระในฐานนั้น ถ้าเป็นส้วมซึมให้เทน้ำลงในช่องฐานก่อนจึงถ่ายอุจจาระลง เมื่อถ่ายเสร็จแล้ว ต้องชำระด้วยไม้หรือกระดาษ ล้างทวารหนักให้สะอาด เช็ดด้วยผ้า เสร็จแล้วเทน้ำล้างช่องฐานปิดกายด้วยดี ปัดกวาดฐานเสร็จแล้วจึงออกจากฐานมา
5. ข้อปฏิบัติใน ธุดงควัตร
1) พึงปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวแถวแห่งอนุศาสน์ 8 ประการ คือไม่ฆ่าสัตว์ 1 ไม่ลักของเขา 1 ไม่เสพเมถุนธรรม 1 ไม่อวดอุตริมนุสธรรม 1 และปฏิบัติตามนิสสัย 4 บำเพ็ญศีลสมาธิปัญญาให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
2) พึงรักษาเตรสธุดงค์ 13 ประการ คือ ถือผ้าบังสุกุลจีวรเป็นเครื่องนุ่งห่ม 1 ถือไตรจีวร 3 ผืน 1 บิณฑบาตมาฉันทุก ๆ วัน 1 เที่ยวบิณฑบาตไปตามแถว 1 ในวันหนึ่ง ๆ ฉันเฉพาะหนเดียว 1 ฉัน เฉพาะในบาตร 1 ไม่ฉันภัตต์ที่เขานำมาเพิ่มเติมเมื่อภายหลัง แต่ลงมือฉันแล้วไป 1 อยู่ในป่าห่างบ้านประมาณ 500 วา 1 อยู่รุกขมูลร่มไม้ 1 อยู่อัพโภกาศในที่แจ้ง 1 อยู่ในป่าช้า 1 อยู่ในเสนาสนะที่ท่านจัดให้ 1 ถือเนสัชชิก 1
3) ผ้ามหาบังสุกุลจีวร ที่เกิดขึ้นในหมู่คณะกรรมฐานหมู่หนึ่ง ๆ ซึ่งได้เคยจัดการมาแล้วถ้าพอผ้าสังฆาฏิหรือจีวรหรือสบงผืนใดผืนหนึ่ง หรือหรือครบทั้งไตรก็ดี ก็ต้องตัดและผลัดเปลี่ยนสงเคราะห์แก่หมู่คณะผู้ขัดข้องและขาดเขิน นับตั้งต้นแต่อาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าตลอดถึงพระภิกษุหรือสามเณร ผ้าขาว ดาบส ถ้าไม่ทั่วถึงกันก็สงเคราะห์เป็นคราว ๆ ไป คราวนี้ได้สงเคราะห์แก่ผู้นี้แล้ว คราวหลังก็สงเคราะห์ผู้ใหม่ต่อไป
4) อาหารบิณฑบาตหรืออาหารอติเรกลาภที่เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา สำหรับที่จะเฉลี่ยทำนุบำรุงบริษัท ผู้ตั้งใจปฏิบัติพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสหธรรมมิก หรือเพื่อนพรหมจารีด้วยกันทั้งนั้น
5) วิธีแจกเสนาสนะ พระภิกษุหนุ่มผู้เป็นสัทธิวิหาริก หรืออันเตวาสิกทั้งหลาย ต้องเป็นหูเป็นตาดูแลจัดเสนาสนะอันเป็นที่สบาย ถวายแก่อุปัชฌาย์และพระอาจารย์ ถ้าเป็นพระอาคันตุกะมาจากวัดอื่นพระภิกษุผู้เป็นเจ้าอวาส หรือภิกษุหนุ่มทั้งหลายเจ้าของอาวาส ต้องเป็นหูเป็นตา ดูแลจัดเสนาสนะอันเป็นที่สบาย ถวายแก่พระอาคันตุกะ ที่มาแต่ทิศใด ๆ นั้น อย่าให้เป็นการฝืดเคือง และแย่งชิงกันด้วยเสนาสนะ คือ กุฏิ วิหาร หรือสถานที่พักพาอาศัยเจริญสมณธรรม
6. ข้อวัตรของสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกจะพึงปฏิบัติในอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์
1) พึงลุกขึ้นแต่เช้าประมาณ 9 ทุ่ม (ตี 3) หรือ 10 ทุ่ม (ตี 4) ถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน เมื่อท่านล้างหน้าเสร็จแล้วพึงถวายผ้าเช็ดหน้าและเก็บตากไว้เสียให้เรียบร้อย
2) เมื่อแจ้ง (สว่าง) เป็นวันใหม่ พึงเก็บเอาบาตรและอาสนะผ้าปูนั่ง และเครื่องใช้ มาปูและตั้งไว้ที่โรงฉัน
3) ก่อนแต่จะไปเที่ยวบิณฑบาต พระภิกษุสามเณรทุก ๆ องค์ ต้องมารวมกันที่ศาลาโรงฉันเพื่อชำระปัดกวาด และปูอาสนะตั้งน้ำใช้น้ำฉัน เสร็จแล้วพร้อมกันกราบพระเถระ นุ่งสบงให้เป็นปริมณฑลและเอาผ้าสังฆาฏิกับอุตตราสงค์ (จีวร) ซ้อนกันเข้า ห่มให้เป็นปริมณฑล สะพายบาตรด้วยจงอยบ่าเบื้องขวาเป็นปัจฉาสมณะตามหลังพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์ เข้าไปเที่ยวบิณฑบาตในละแวกบ้าน ตามระเบียบแบบแผนเยี่ยงอย่าง ของพระพุทธเจ้าและอริยเจ้าสืบต่อเป็นลำดับมา
4) เมื่อกลับจากบิณฑบาตใกล้ที่จะเข้าวัด สัทธิวิการิกและอันเตวาสิก ต้องรีบกลับก่อน เพื่อเอาบาตรมาวางไว้แล้วคอยรับผ้าสังฆาฏิและล้างเท้าเช็ดเท้า เสร็จกิจตอนนี้ก่อนจึงขึ้นบนศาลาจัดอาหารฉันบิณฑบาตต่อไป
5) เมื่อฉันบิณฑบาตเสร็จแล้ว พึงรื้ออาสนะและเสื่อ ชำระปัดกวาดศาลาโรงฉัน และบริเวณแห่งศาลา ตักน้ำใช้น้ำฉันไว้ตามเดิม
6) ตอนกลางวัน ตั้งแต่ฉันเสร็จแล้วไป ให้เดินจงกรม และทำวัตรเช้าเจริญพรหมวิหาร 4 นั่งสมาธิแสวงหาที่วิเวกสำหรับกลางวัน ทำความเพียรตลอดเวลาบ่าย 3 โมง ออกจากวิเวก จัดเครื่องยาเลี้ยงน้ำร้อน เสร็จแล้วชำระปัดกวาดวัดวาอาวาส สรงน้ำชำระกาย ประกอบข้อวัตรตามหน้าที่
7) ตอนเย็นตั้งแต่เวลาย่ำค่ำแล้วไป ให้หยุดการงานทั้งปวงหมดทุกอย่าง เตรียมตัวเข้าหาพระอาจารย์ศึกษาหาอุบายทำใจได้ดีแล้ว เดินจงกรมทำวัตรเย็นเจริญพรหมวิหารนั่งสมาธิทำจิตใจต่อไป
8) ตอนมัชฌิมยาม นอนสีหไสยาสน์เอามือซ้ายวางทับมือขวา เอาขาซ้ายวางทับขาขวา แต่ให้ลดลงไปประมาณครึ่งฝ่ามือหรือครึ่งแข้ง มีเวลานอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ถึง 9 ทุ่ม พึงลุกขึ้นแต่เช้า แล้วถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน และกระทำความเพียรต่อไปจนสว่างเป็นวันใหม่
9) เมื่อพระอุปัชฌาย์มีกิจธุระ เช่น ซักผ้า ย้อมผ้า โกนผม โกนคิ้ว สัทธิวิหาริกต้องรับภาระธุระทำแทน หรือช่วยอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ตลอดไป
10) สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกต้องเป็นผู้ฉลาดรู้จักนิสัยใจคอ ของพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ต้องเป็นผู้ขอนิสัย อยู่ในสำนักพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์ ตั้งแต่วันอุปสมบท ตลอดถึงห้าพรรษา
11) สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิก ต้องเป็นผู้มีองค์คุณ 5 ประการ คือ
1. อธิมตฺโต ปสาโท โหติ มีความเลื่อมใสยิ่งนัก
2. อธิมตฺตํ เปมํ โหติ มีความรักใคร่ยิ่งนัก
3. อธิมตฺโต คารโว โหติ มีความเคารพยิ่งนัก
4. อธิมตฺตา หิริ โหติ มีความละอายยิ่งนัก
5. อธิมตฺตา ภาวนา โหติ มีความเจริญเมตตายิ่งนัก
ในพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ ถ้าขาดจากองค์คุณ 5 ประการนี้แล้ว พระอุปัชฌาย์หรือ
พระอาจารย์ต้องประณามนิสสัย ถ้าไม่ประณามนิสสัยพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ต้องอาบัติทุกกฏ
(ข้อกติกาสงฆ์สัมมา ปฏิบัติว่าด้วยข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ. 2539)