
ความสำเร็จที่แท้จริง
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงหรือ?
ก็ควรต้องอยู่กับความพยายามใช่ไหม แล้วทำไมอุตส่าห์ พยายามแทบตาย ไฉนไม่เห็นสำเร็จสักที?
แต่งโดย
อมรเทโว ภิกขุ
phramahaamorntep@gmail.com
ความสำเร็จคืออะไร? ความสำเร็จกับความเสร็จสิ้นเหมือนกันหรือไม่? ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เมื่อมีคำว่า สำเร็จ ก็ต้องมีคำว่า เป้าหมาย ความสำเร็จนั้นหมายถึงบรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนความเสร็จสิ้น บางครั้งอาจไม่สำเร็จ เช่น นักธุรกิจตั้งเป้าจะขยายตลาดสินค้าให้ขยายออกไปอีกในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เมื่อบริหารงานจนหมดระยะเวลาที่กำหนด ก็เรียกว่า เสร็จสิ้น แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าสำเร็จ เพราะบางครั้งเมื่อครบเวลาแล้วอาจจะขยายตลาดไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า เสร็จสิ้นแต่ไม่สำเร็จ ถ้าหากว่าครบระยะเวลาที่กำหนดแล้วสามารถขยายตลาดออกไปได้กว้างขวางมาก อย่างนี้เรียกว่า สำเร็จเสร็จสิ้น
สุภาษิตที่กล่าวว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ก็เห็นว่าจะมีมูลความจริงอยู่ แต่จริงเพียงบางส่วน เพราะลำพังอาศัยความพยายามอย่างเดียวโดยปราศจากปัญญา จะให้ประสบความสำเร็จนั้นเป็นไปได้ยาก หากพยายามไม่ถูกจุด ความพยายามนั้นก็ไร้ผล เช่น เราคันที่ตรงหลัง แต่ไปเกาที่ขา พยายามเกาเท่าไร ๆ ก็ไม่หายคัน ต่อเมื่อย้ายมาเกาที่หลัง ตรงที่มันคันนั่นแหละจึงจะหายคัน เป็นต้น
ศาสนธรรมของพระบรมศาสดา มีหมวดธรรมที่ทำให้ประสบความสำเร็จอยู่หลายข้ออาทิ เช่น อิทธิบาท ๔ ซึ่งท่านแสดงว่า เมื่อใดที่เราปรารถนาจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างใดอย่างหนึ่ง อันดับแรก เราต้องมีความพอใจที่จะทำงานนั้น แล้วก็พยายามทำงานนั้นโดยหมั่นเพียร จากนั้นก็มีจิตจดจ่ออยู่กับงาน และต้องพิจารณาตริตรองเสมอ ๆ ว่า จุดใดสมบูรณ์แล้ว จุดใดบกพร่อง แล้วพยายามแก้ไขปัญหาที่จุดนั้น จึงจะประสบความสำเร็จได้
ในส่วนของการปฏิบัติธรรมเป้าหมายคือการละกิเลส จะอาศัยความพยายามอย่างเดียวก็สำเร็จไม่ได้ จะต้องผ่านการสั่งสมคุณธรรม ๕ อย่างที่เรียกว่า อินทรีย์ ให้แก่กล้าเสียก่อน คือ มีความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อในผลแห่งการกระทำ เป็นต้น แล้วจึงให้มี ความพยายามปฏิบัติตาม หลักกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ โดยอาศัยความมีสติจดจ่อต่อเนื่องเพื่อให้จิตตั้งมั่น และเกิดปัญญาญาณขึ้น จึงจะสำเร็จมรรคผล นิพพาน ละกิเลส ออกจากจิตใจได้
นี้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายประการ ลำพังความพยายยามเพียงอยางเดียว บางครั้งอาจยังไม่พอ จึงทำให้บางคนที่ใจร้อนอยากเห็นผลเร็ว ๆ บ่นออกมาว่า อุตส่าห์พยายามขนาดนี้แล้วไฉนไม่สำเร็จสักที ท่านทั้งหลายข้อนี้ พึงพิจารณาได้จากการต้มน้ำร้อน เมื่อเราเติมน้ำเย็นจนเต็มกา แล้วตั้งกาบนเตาใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าเราจะโหมไฟให้แรงจนลุกท่วมกา น้ำก็ไม่เดือด เพราะยังไม่ถึงเวลา จนเวลาผ่านไปสักพัก น้ำสั่งสมความร้อนไว้จนได้ที่แล้วจึงเดือด การทำงานทุกอย่างก็เช่นเดียวกัน หากว่าพยายามแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จสักที แสดงว่าพยายามยังไม่พอ แต่เพราะนิสัยของผู้ใจร้อนอยากได้ผลเร็ว ๆ พยายามเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ ก็จะให้สำเร็จผล นั้นเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติเกินไป ต่อเมื่อองค์ประกอบปัจจัยต่างๆ พร้อมมูลแล้ว จึงจะสำเร็จผล
คราวนี้ถึงจะบอกว่าอย่าสำเร็จนะ มันก็ยังคงสำเร็จอยู่ดี เพราะเหตุมันถึงพร้อมแล้ว จะห้ามอย่างไร ก็ห้ามไม่ได้ เช่น ชาวนาหว่านข้าวกล้าเพียง ๑ เดือน แล้วพยายามใส่ปุ๋ย พรวนดิน เอาใจใส่ดูแลอย่างดีทุกอย่างตลอดทั้งเดือนนั้น แล้วชาวนาจะบอกใหต้นข้าวออกรวง ออกเมล็ดในเดือนเดียวนั้น เห็นว่า คงจะเป็นไปไม่ได้ หากชาวนานั้นใจเย็นสักหน่อยรอให้เวลาผ่านไปสักหลาย ๆ เดือน ต้นข้าวก็ได้เก็บสะสมอาหารไว้เต็มที่แล้ว และออกรวงมาเป็นข้าวเปลือกสีทองอร่ามทั่วท้องทุ่ง ทีนี้ถึงจะห้ามข้าวว่า ข้าวเอย! อย่าออกรวงเลย ข้าวนั้นก็จะยังออกรวงเต็มท้องทุ่งอยู่ดี เพราะเหตุปัจจัยนั้นพร้อมแล้ว
จะอย่างไรก็ตามความพยายามเป็นคุณธรรมที่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การงานทุกอย่างสำเร็จลงได้ ถ้าขาดความพยายาม องค์ประกอบของปัจจัย ก็ขาดไป ความสำเร็จก็ไม่เกิดขึ้นได้ เราผู้เป็นนักศึกษาธรรมะจึงจะต้องเข้าใจในองค์ประกอบของเหตุและผล เมื่อทำเหตุให้พร้อมมูลผลก็จะต้องเกิดขึ้นโดยแน่แท้ สุดท้ายนี้ก็จะขอหยิบยกเอาปรัชญาธรรมของครูบาอาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา ดังนี้
" คิด ๆ เท่าไร ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้ "