กลับไปอยู่เพชรบูรณ์
ในปีพ.ศ. ๒๔๙๗ พระนพีสีพิศาลคุณ อายุได้ ๒๖ ปี พระอาจารย์กุศล กุสลจิตฺโต (แส่ว ) ได้ขึ้นมาจากเพชรบูรณ์ เพื่อมารับเอาตัวท่าน กลับไปอยู่ที่วัดศิลามงคล บ้านหินฮาว ตำบลหินฮาว อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ และสอบนักธรรมชั้นเอกได้ที่สำนักเรียนวัดศิลามงคลนี้
|
วัดศิลามงคล |
สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค
ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ปีต่อมาท่านอายุได้ ๒๗ ปีสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้เป็นพระมหา โดยได้ไปสอบที่สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร จังหวัดพระนคร และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการ เจ้าคณะอำเภอ จังหวัดเพชรบูรณ์
สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค
ในปีพ.ศ.๒๔๙๙ ท่านอายุได้ ๒๘ ปี สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค ที่สำนักเรียน วัดบวรนิเวศวิหาร จังหวัดพระนคร ท่านได้รู้ธรรมวัจนะ คำสอนของพระพุทธเจ้า และท่านต้องการที่จะรู้ในทางปฏิบัติ จึงตั้งจิตทำใจให้แน่วแน่เป็นหนึ่ง แล้วนึกว่าจะอยู่ในเพศบรรพชิตนี้ต่อไปหรือจะสึก เกิดนิมิตมีเสียงดังขึ้นมา ภายในใจว่า เราจะอยู่ไม่สึก ถ้าอยู่ก็หยุดเรียนได้แล้ว จงบำเพ็ญภาวนา เพื่อ มรรค ผล นิพพานต่อไป
|
หลักฐานสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค |
คุณพ่อตัวอย่าง
ช่วงนี้ท่านได้รับหนังสือจิต-สิกขา ศีล สมาธิ ปัญญาเล่มหนึ่งเขียนโดยพระสุธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)วัดอโศการาม จังหวัดมุทรปราการอ่านแล้วเกิดความซาบซึ้งในทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก หนังสือเล่มนี้ท่านได้ส่งไปให้โยมพ่อได้อ่าน และให้ถือเอา ปฏิบัติตนด้วย เมื่อโยมพ่อได้รับหนังสือ ก็ได้ปฏิบัติ ตามอย่างเคร่งครัด นับเป็นผู้มีสติปัญญาและมีสัมมาปฏิบัติที่ควรแก่การสรรเสริญ โยมพ่อ ท่านได้ปฏิบัติ อยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรมมาด้วยดี ขณะที่ท่านทำไร่ไถนา ที่บ้านเพชรบูรณ์ ทุกฝีก้าวจะมีแต่คำภาวนาพุท-โธ ตลอดเวลา แม้กับการพูดจากับผู้หนึ่งผู้ใดคำว่าพุท-โธ จะต้องกล่าวนำก่อนทุกครั้ง แม้คำอุทานภาษา ชาวบ้านก็จะพูดคำหยาบยาวเหยียด แต่โยมพ่อของท่าน ใช้คำสั้นๆอุทานว่าพุท-โธ แล้วก็เงียบ ไม่พูดคำอื่นต่อ ทำให้ท่านสามารถควบคุมอารมณ์จิตได้ดีมาก
เมื่อถึงวันโกนวันพระท่านจะรักษาศีล นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกลมอย่างไม่ย่อท้อ เพราะท่านมีที่พึ่ง ทางใจอย่างมั่นคงแล้ว โยมพ่อของท่าน ยึดถือว่าการปฏิบัติบูชาสามารถกระทำให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้กำลัง ทำงานอยู่ก็สามารถอาราธนาศีล ละเว้นความชั่วบาปกรรมทั้งปวงได้เสมอ การกระทำความชั่วของตนนั้น ก็ไม่เห็นบุคคลนั้นไปขอใคร ก็ตัวเองเป็นผู้ก่อกรรมเองทั้งนั้น ฉะนั้นความดีเป็นผู้กระทำขึ้น ก็ไม่ต้องหา ที่อื่นอีกเพราะมันไม่มี
ความดีจะหาได้ในใจตนเองการทำความดีแม้ใครไม่เห็นเราก็หาสนใจไม่ มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ท่านมองเห็นเทพเทวดาก็ ย่อมเป็นเพื่อนแก่เราได้ เพราะเรามีที่พึ่ง บุคคลเช่นโยมพ่อ ของท่านถือได้ว่าเป็คนจิตใจบริสุทธิ์จริง เชื่อผลของความดี มีหลักแหล่ง ของจิตใจที่บริสุทธิ์กว้างขวางสมบูรณ์ดีแล้ว
|
|
พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ |
หนังสือ จิต-สิกขา
ของพระอาจารย์ ลี ธมฺมธโร |
ดวงพุทโธอยู่ที่ใจ
ในปีต่อมาท่านได้เดินธุดงค์อยู่ในป่าดง พระอาจารย์แส่ว ได้ออกติดตามมาจากเพชรบูรณ์เพื่อแจ้งว่า ให้กลับไปเยี่ยมบ้าน เนื่องจากโยมพ่อป่วยหนัก ท่านจึงเดินทางไปเพชรบูรณ์
ท่านเล่าว่า หนังสือจิตสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา เล่มนั้น มีพระคุณต่ออาตมาและโยมพ่อเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ท่านได้ปฏิบัติตาม แล้วสามารถควบคุม อารมณ์จิตที่เข้ามากระทบได้ดี ตอนที่ท่านป่วย ท่านสามารถใช้พลังจิตบังคับความเจ็บปวดได้อย่างดียิ่ง วิธีหลบจิตนี้เป็นวิธีหนึ่ง ที่ครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนมาแล้ว เพราะตอนที่โยมพ่อท่านป่วย เป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง ได้รับความทุกข์ทรมานมาก..ร่างกายผ่ายผอม กำลังวังชาก็ไม่มี การที่ท่านพระมหาทองอินทร์ ได้เห็นโยมพ่อสามารถใช้พลังจิต บังคับความเจ็บปวด ได้ด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้น ท่านถามโยมพ่อว่าสภาพสังขารเป็นถึงขั้นนี้ท่านอยู่ได้ด้วยอะไรหรือ โยมพ่อท่านตอบว่า อยู่ได้ด้วยพุทโธ สังขารนั้นสุดท้ายก็แตกดับไป จะมีอยู่ด้วยด้วยดวงพุทโธเท่านั้นเอง...
อำนาจจิตในธรรม
ท่านได้อยู่ปรนนิบัติดูแลโยมพ่อเป็นเวลานาพอสมควร นับได้ว่าผลการบวชเป็นพระ สามารถขอแนะนำ วิถีส่องทางเดินให้โยมพ่อได้ถูกต้อง แม้เพียงหนังสือจิตสิกขา ที่ส่งมาให้โยมพ่ออ่านเพียงเล่มเดียว ทำให้โยมพ่อ มีอำนาจสมาธิจากการที่ท่านปฏิบัติและอาศัยอำนาจศีลที่รักษามาโดยตลอด ก็มีผลทางจิตใจมาก ทำให้โยมพ่อ
๑ .เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
๒. สามารถบังคับโรคภัย บังคับเวทนา ขณะเจ็บปวดอย่างรุนแรงได้
๓.มีความแกล้วกล้าอาจหาญ แม้จะมีความเจ็บปวดอยู่ต่อหน้า แม้จะมีความตายรออยู่ต่อหน้า ก็มีจิตใจ เป็นปรกติไม่หวั่นไหว
๔.มีอารมณ์จิตแจ่มใส เบิกบาน ยิ้มได้ทั้งๆที่อยู่ในขั้นทุกเวทนาอย่างแสนสาหัส
๕.มีดวงจิตติดแน่นอยู่กับพุทโธ วางสภาวะได้ และมีที่พึ่งทางใจคือความดีงาม
หากมีผู้ใดได้ปฏิบัติและยึดมั่นในความดีท่านทั้งหลายมีสุคติแน่นอน
สุคติเป็นที่ไป
ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ โยมพ่อของท่านพระนพีสีพิศาลคุณ ได้ถึงแก่กรรม แต่ก่อนที่จะสิ้นคืนนั้น ท่านเป็นผู้ให้สติ ให้ท่านเจริญสมาธิ ตลอดเวลา โยมพ่อท่าน นอนหลับเอาพุทโธเป็นเป็นที่พึ่งตลอด ตอนที่จิตออกจากร่างท่าน คงจะได้อารมณ์พระกรรมฐานแน่นอน ท่านอยู่จัดการ งานศพโยมพ่อเรียบร้อย จึงเดินทางกลับเชียงใหม่
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านอายุได้ ๒๙ ปีท่านยังอยู่กับหลวงปู่หลอด ปโมทิโต (พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา ) ที่วัดศิลามงคล บ้านหินฮาว อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ท่านได้อุทิศชีวิตให้กับ พระพุทธศาสนา และศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นท่านก็ขอกราบลาพระอาจารย์กุศล กุสลจิตฺโต กลับมาหาหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ที่วัดสันติธรรม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
|
หลวงปู่หลอด ปโมทิโต |
มุ่งเข้าป่าหาดวงธรรมถ้ำผาจรุย
ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. ๒๕๐๑ เมื่อท่านสอบได้แล้ว ท่านก็เกิดความเบื่อหน่ายที่จะศึกษาเล่าเรียนต่อไป จึงคิดหาทางออก โดยการออกบำเพ็ญ มุ่งสู่ป่าดงพงไพร ท่านจึงขอกราบลา หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ไปหาสถานที่ปฏิบัติธรรมภาวนา เพื่อความรู้แจ้ง ในพระธรรม คำสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และ เพื่อแสวงหาความหลุดพ้น ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเตรียมบริขารที่จำเป็น ก็มุ่งหน้าเข้า สู่ป่าเขาลำเนาไพร เพื่อออกธุดงค์กรรมฐานเพื่อแสวงหาสิ่งอันประเสริฐ คือดวงธรรมความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ด้วยจิตใจ อันเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ โดยธุดงค์จากจังหวัดเชียงใหม่ไปทางจังหวัดเชียงราย โดยได้ขึ้นรถลากไม้จากเชียงใหม่ ไปต่อรถที่สถานีขนส่งจังหวัดลำปาง แล้วต่อรถไปจังหวัดเชียงราย ไปลงรถที่อำเภอพาน ขึ้นรถต่อไปบ้านป่าแงะ ซึ่งสมัยนั้นถนนหนทางลำบาก เต็มไปด้วยฝุ่นของถนนลูกรัง ท่านเลือกสถานที่อันสงบระงับแห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย สถานที่แห่งนั้น ท่านเรียกว่าถ้ำผาจรุย โดยต้องเดิน ลุยโคลนตมมุ่งหน้าไปยังถ้ำ เพราะโดยรอบในเวลานั้น เป็นที่ลุ่ม เป็นท้องนาของชาวบ้านก็มี ที่ถ้ำผาจรุยนี้ ชาวบ้านที่แท้จริงนั้น มีบ้านเป็นส่วนน้อย มีผู้อพยพมาจากจังหวัดเชียงใหม่มากกว่า บางครอบครัวก็นับถือกันมากเพราะเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านี้ ไปพักที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาจรุยซึ่งเป็นสำนักกรรมฐาน ท่านบำเพ็ญสมณะธรรม ทำความเพียรภาวนาวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่จำพรรษาที่ถ้ำผาจรุยเป็นเวลา ๖ พรรษา สั่งสอนญาติโยม หลังจาก ที่ชาวบ้าน เสร็จจากการทำนาทำไร่ทำสวน ได้ผลัดเปลี่ยนหมุดเวียน กันมานิมนต์ขอฟังธรรมอยู่เป็นประจำมิได้ขาดทุกคืน จนเป็นที่เคารพนับถือ ของคณะศรัทธา และก่อให้เกิด ความศรัทธาเลื่อมใสของญาติโยมเป็นอย่างมาก ที่นี่ท่านมีเพื่อนสหธรรมิกที่เคยมาร่วมปฏิบัติภาวนาด้วยกัน พระครู วิเวกวัฒนาทร (หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ) พระญาณวิศิษฐ์ (หลวงพ่อทอง จนฺทสิริ) พระภาวนาภิรัต (หลวงปู่สังข์ สังข์กิจโจ) พระครูธรรมคุณาทร (สูนย์ จนทวฺณโณ ) เป็นต้น
|
|
วัดถ้ำผาจรุย |
ถ้ำที่หลวงพ่อขึ้นไปนั่งภาวนา |
จิตสอนจิต
ที่ถ้ำผาจรุยนี้ มีถ้ำผามากมาย มีสถานที่ปฏิบัติธรรม เดินจงกรมหลายแห่ง ท่านได้เข้าไปบำเพ็ญธรรมในถ้ำ เช่น ถ้าหน้าร้อนก็มีถ้ำบนเชิงเขา ภายในมีความกว้างขวางพอสมควร ถ้ำเป็นฤดูฝนก็ขึ้นไปถ้ำข้างบน เพราะถ้ำนี้อบอุ่น อากาศถ่ายเทได้ดี เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา อารมณ์จิตของท่านได้ปล่อยวาง ภาระทั้งหลาย ออกจากความคิดทั้งหมด ทำจิตใจตลอดเวลา ๓ วัน ๓ คืน ขณะที่นั่งสมาธิภาวนา อารมณ์จิต ที่เคยคิดวุ่นวายอยู่กับโลกเริ่มถูกคนให้ขุ่นอีก เลยพิจารณาถามขึ้นในใจว่า ทำไมหนอเราจึงทุกข์เช่นนี้ เราเอง สู้หลบหน้าเข้าป่า มาอาศัยถ้ำอยู่ หลบหน้าผู้คน จนแล้วจนรอด ความทุกข์ สัญญาที่เคยพบ ประสบมามันยังเฝ้าติดตามมารบกวนได้ในป่านี้เราจะทำอย่างไรหรือ พอท่านพิจารณายกเอาความทุกข์ขึ้นมา จิตใจภายในนั้นกลับผุดขึ้นว่า ก็ปล่อยวางเสียสิ เมื่อจิตตอบมาอย่างนั้น ความสงบก็สลัดอารมณ์ ที่คอยส่งออกไป ข้างนอกเสียจนหมดสิ้น เหลือแต่อารมณ์รู้อย่างเดียวคือ ความสบาย สงบเยือกเย็น นี้คือได้พบกับ ความจริงในครั้งแรกของสมาธิ
วิธีดับความคิด
พอจิตมีความสงบหลังจากได้สมาธิ ความคิดก็พุ่งขึ้นมาใช้อย่างเต็มที่ ปัญญาบ่งบอกความคิดนั้นไม่หยุดหย่อน รู้ชัดแล้วทันต่อความคิดนั้นทีเดียว แต่ต้องระวังถ้าเกิดความคิดความนึกมาก ความสงบความดับไม่เกิด ก็จะกลาย เป็นเครื่องฟุ้งซ่าน เพราะอะไร เพราะพูดมาก คิดมากมันเพ้อ ฉะนั้นคำสอนจึงมีการปล่อย วางอาศัยปัญญาวางเฉยสักแต่รู้ สักแต่ว่าทำเหมือนการงานนี้ เรากระทำไปตามหน้าที่ คือทำให้ดี ทำให้งาม เป็นที่เรียบร้อย ผลงานดี แต่อย่าหลงในผลงานนั้น หลงมากดีใจมาก มันก็ฟุ้งมากเท่านั้นเอง ปกติถ้าคนคิดมากๆ ก็กลายเป็นคนจิตไม่ว่างอยู่แล้ว อะไร ๆ ก็แบกไว้ทั้งหมด คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีหน้าที่คิด เลยเป็นเหตุให้จิตไม่ปกติ คือ ฟุ้งซ่านเป็นทุกข์กลายเป็นโรคประสาทไปได้ ท่านจึงปฏิบัติโดยใช้วิธีดับความคิด เมื่อเวลาจิตฟุ้งซ่านขึ้นมา พิจารณาจิตให้แตกซ่านเกิด ปัญญาขึ้นมา ฝึกไปนาน ๆ พอมันคิดขึ้นมาปุ๊บ ก็เอาปัญญามาระงับ ให้สงบปล่อยวางทันทีเลย คิดดี คิดไม่ดี เอาปัญญามาดูแล้วดับวางมันเสีย เราก็จะปฏิบัติได้อย่างเต็มที่
สู่แดนธรรมถ้ำผาจม
ท่านจำพรรษาถ้ำผาจรุย ตลอดเวลาจิตสามารถถึงการปฏิบัติบูชาเป็นอย่างยิ่ง ท่านมีความตั้งใจว่า ชาตินี้จะขอเอาดีทางปฏิบัติภาวนา เมื่อไปอยู่ถ้ำผาจรุยก็ได้ผลทางจิตใจไม่น้อยเลย จิตใจสงบเยือกเย็นดี อารมณ์จิตที่กระเพื่อมไปมาเหมือนระลอกคลื่นก็ค่อยๆ สงบลงไป ถ้าเป็นอย่างสมัยแรก ๆ อารมณ์โกรธ อารมณ์ดีใจ อารมณ์ปิติ มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะแสดงยื่นออกมาเลยหน้าอีก ต่อมาเมื่อปฏิบัติฝึกอบรมเรื่อย ๆ ก็ได้ผลดี สมาธิเกิดง่าย สามารถดับอารมณ์เหล่านั้นได้อย่างอัศจรรย์ เมื่อออกพรรษาท่านธุดงค์ไปกับหมู่คณะ ไปทางเชียงราย อำเภอแม่สาย ท่าขี้เหล็ก เขตชายแดนประเทศพม่า เมื่อไปถึงก็เข้าหาที่พักบำเพ็ญธรรม ก็เลยเข้าไปถ้ำผาจม ซึ่งเวลานั้นก็มีแต่ป่ากับถ้ำ บ้านเรือนไม่มีอย่างเดี๋ยวนี้และกุฎิ ศาลา ก็ยังไม่มีอย่างเดี๋ยวนี้ อาจารย์วิชัย เขมิโย ท่านเคยอยู่ถ้ำผาจรุยด้วยกัน ไปสร้างเสียใหญ่โตเลย มีผู้คนไปพักสบายมาก เวลานี้เจริญรุ่งเรือง ภายในถ้ำผาจมสมัยนั้น ก็มีแคร่ไม้อยู่คงจะเป็นที่ครูบาอาจารย์ไปอยู่บำเพ็ญธรรมกันตลอด เพราะสภาพป่าดงเงียบดี เหมาะแก่การภาวนามาก ภายในถ้ำนี้ก็น่าศึกษา มีเหตุการณ์น่าเรียนรู้โดยเฉพาะทางจิต ท่านไปอยู่ทำภาวนา ๒ เดือนเท่านั้นเอง ได้ไปปฏิบัติธรรมในสถานที่อันเหมาะสม ผู้คนไม่มีเข้าไปวุ่นวาย มันไม่น่าดูอะไรตอนนั้น ตลาดแม่สายก็ไม่เจริญ ผู้คนก็มีไม่มาก พอได้อาหารฉันบ้างไม่ถึงกับลำบาก ท่านอยู่ครบ ๒ เดือน ก็กลับไปที่ถ้ำผาจรุยอีกครั้ง พร้อมกับคิดปรับปรุงสถานที่นั้นให้ดีขึ้น เมื่อเข้าพรรษาก็มีพระเณร มาจากที่อื่น หลายรูปมาอยู่ปฏิบัติธรรม ต่างก็ได้ซ่อมแซมแนวกำแพงหินบางส่วน ทั้งยังได้ปรับปรุงถ้ำให้เป็นที่ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา ตลอดจนกุฏิกรรมฐานขึ้น แม้จะไม่แข็งแรงก็สามารถอยู่ได้ตลอดพรรษาเลยทีเดียว
|
วัดถ้ำผาจรุย |
นิมิตหลวงปู่มั่น
ท่านเล่าให้ฟังว่า อาตมาเป็นพระประหลาดอยู่ คือชอบอยู่ลำพัง ไม่ชอบอยู่ร่วมหมู่คณะ นี้เป็นส่วนลึกนะ ก็ตอนนั้นอาตมามีรูปภาพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็ได้อัญเชิญไปด้วยทุกครั้งที่ได้ไปอยู่ป่า พอไปปฏิบัติอยู่ก็เกิดนิมิต เห็นท่านนั่งอยู่บนขอนไม้ ท่านมองดูอาตมาอยู่นิดหนึ่งก็ได้กวักมือเรียกเข้าไปใกล้ๆ แล้วท่านก็พูดว่า มานี่ซิเราจะบอกอุบายให้นำไปปฏิบัติ เมื่ออาตมาคลานเข้าไปใกล้ท่าน ทำการนมัสการแล้ว ก็ประนมมือรับฟังโอวาท ท่านพูดขึ้นว่า การภาวนานั้นให้เธอตั้งใจจับอารมณ์ไว้แต่ภายในเท่านั้น อย่าไปตั้งไว้ข้างนอกนะ เอาล่ะไปปฏิบัติได้ พอท่านพูดจบก็หายไป อาตมาได้พิจารณาดูตามนิมิต ก็เห็นเป็นความจริง จะว่านิมิตหลอกหลอนก็ช่างเถิด เมื่อปฏิบัติไปเราก็ได้ธรรมะที่แท้จริง เพราะจิตส่งออกไปภายนอกนั้นครูบาอาจารย์สอนว่า มันจะไม่เป็นผลดีแก่ นักปฏิบัติเลย ส่วนหลวงปู่สิม พุทธาจาโรท่านได้แนะนำอุบายธรรมไว้อย่างนี้ ให้กำหนดรู้ คือรู้ภายใน และสิ่งที่มันห่อหุ้มตัวรู้อยู่ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ คือพิจารณาให้ประกอบด้วยเหตุผล แล้วพิจารณาความไม่เที่ยงในกองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร และกองวิญญาณ อันเป็นธาตุขันธ์ให้เป็นขันธวิมุตติ พ้นขันธ์เหล่านี้
|
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต |
[1] | [2] | [3] | [4] | [5] |