|
|
|
|
ประวัติหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
(๒๔๓๑ - ๒๕๑๒)
วัดป่าประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี |
|
|
|
|
|
นามเดิม |
|
พรหม สุภาพงษ์ |
|
|
เกิด |
|
วันอังคาร พ.ศ.๒๔๓๑ ปีขาล |
|
บ้านเกิด |
ณ บ้านตาล ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร |
|
|
|
นายจันทร์ และนางวันดี สุภาพงษ์ อาชีพชาวนาชาวไร่ |
|
|
บิดามารดา |
|
รวม ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี |
|
|
พี่น้อง |
|
พ.ศ. ๒๔๙๖ ปีเถาะ (โดยประมาณ) อายุ ๓๗ ปี โดยมีท่านพระครูชิโนวาทธำรง |
|
อุปสมบท |
|
(จูม พนฺธุโล) ต่อมาเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมเจดีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูประสาทคุณานุกิจเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า " จิรปุญโญ " |
|
|
|
นับตั้งแต่เยาว์วัย ท่านได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางท้องทุ่งนาป่าดง ครั้นเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม ท่านมีความสงสัย มีความครุ่นคิดอยู่ว่า "คนเราเกิดมาแล้วนี้ |
|
|
เรื่องราวในชีวิต |
|
จะแสวงหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร อะไรคือความสุข ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ ไหน" เมื่อถึงวัยเบญจเพส ได้มีภรรยาและบุตร ๑ คนและย้ายครอบครัวไปอยู่บ้านดงเย็น ต่อมาภรรยาและบุตรเสียชีวิตจึงได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง ท่านเป็นคนหมั่นขยันต่อหน้าที่การงาน ชาวบ้านจึงเห็นดีเห็นชอบแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ บ้านดงเย็น ท่านมีที่ดินปลูกบ้านที่สวน ที่นาหลายแปลงและมีโคกระบือเป็นร้อยๆ ตัว ชาวบ้านขนานนามว่านายฮ้อยพรหม ผู้ที่เป็นนายฮ้อยนายแถว ในสมัยนั้นต้องเป็นคนมีทรัพย์ มีความดีมากกว่าคนอื่นๆ เป็นที่นับหน้าถือตา
ต่อมามีพระธุดงค์ชื่อพระอาจารย์สาร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ธุดงค์มาบ้านดงเย็นแล้วเมตตาแสดงธรรมโปรดท่านและชาวบ้าน ที่สุดทำให้ท่านคิดอยากจะบวช ก่อนบวชท่านได้สละทรัพย์สินสิ่งของให้คนยากจนอยู่นานหลายวันจึงหมด ที่ดินและบ้านอีกสองหลังก็รื้อไปทำเป็นกุฏิถวายวัด ส่วนภรรยาท่านก็ให้บวชเป็นชีก่อนท่านหนึ่งปี เมื่ออุปสมบทแล้วได้เรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติและเดินธุดงค์เท้าเปล่ากับพระอาจารย์สารเป็นเวลา ๓ ปี จากนั้นจึงลาพระอาจารย์เดินธุดงค์ไปทั่วภาคอีสานและในประเทศลาวพร้อมหลานชาย ๑ คน และเมื่อจะธุดงค์ไปภาคเหนือเพื่อแสวงหาหลวงปู่มั่นก็ได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับหลวงปู่ชอบพระสหธรรมิกของท่านซึ่งทั้งสององค์ถือว่าเป็นเพชรน้ำเอก เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นแล้วท่านได้รับฟังโอวาทและประพฤติปฏิบัติธรรมกับองค์หลวงปู่มั่นอยู่พักหนึ่งก็ได้ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่ขาว อนาลโยไปทั่วภาคเหนือ
ปี พ.ศ.๒๔๘๖ เป็นปีสุดท้ายที่ท่าน อำลาภาคเหนือ ท่านได้เดินธุดงค์มาทางภาคอีสาน แล้วก็ได้ไปสมทบกับพระอาจารย์ของท่านที่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร และได้อยู่จำพรรษาที่นั่น ในระหว่างที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าภูริทัตตถิราวาส ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ต่อมาท่านได้มาอยู่วัดป่าประสิทธิธรรม ท่านเป็นศิษย์ผู้ได้เคยสดับฟังโอวาทและติดตามท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโตมารูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในธุดงค์วัตรและประกอบด้วยคุณสมบัติในสมณะคุณเป็นอันมาก ทำให้มีศิษยานุศิษย์และผู้ใคร่ในธรรมปฏิบัติเคารพนับถือในท่านเป็นจำนวนมาก |
|
|
|
|
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เวลา ๑๗.๓๐ น. ด้วยโรคชรา สิริอายุได้ ๘๑ ปี พรรษา ๔๓ |
|
|
มรณภาพ |
|
* ได้รับยกย่องจากหลวงปู่มั่น ต่อหน้าคณะสงฆ์ว่าเป็นผู้มีสติ ทุกคนควรเอาอย่าง |
|
ข้อมูลพิเศษ |
|
* ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระอุปคุต
* เมื่อท่านบวชนอกจากมีภรรยาแล้ว ยังมีญาติพี่ๆน้องๆ บวชตามท่านจำนวนมาก
|
ธรรมโอวาท |
|
"...เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติหนึ่ง และมนุษย์นี่เองที่สามารถยังประโยชน์
ก็ได้เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตนเองตลอดถึงวงศาคณาญาติกว้างไปไกลถึงสังคมชุมชนน้อยใหญ่ให้มีแต่ความเจริญสุขสถาพร ยิ่งได้สร้างประโยชน์ให้แก่สังคมพลเมืองด้วยแล้ว ย่อมนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ บ้านต่างก็อยู่ดีมีสุขทุกเรือนชาน เพราะมนุษย์มีสติปัญญา มีธรรมะประจำจิตใจด้วยกัน ก็มนุษย์นี้แหละกระทำขึ้นให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ทั้งสิ้น
การทำความชั่ว...ถ้ามนุษย์พึงปรารถนาใช้สติและปัญญาเที่ยวสร้างสรรค์แต่ความชั่วร้ายป่าเถื่อน...อันประกอบตนเองลดฐานะของจิตใจให้ตกอยู่กับฝ่ายชั่วร้าย ก็มีแต่เที่ยวเบียดเบียนบั่นทอนผู้อื่นให้ได้ความทุกข์เดือดร้อน ออกเกะกะระราน เที่ยวฆ่า ปล้น ชิงทรัพย์ ทำลายล้างให้ตนเองและวงศาคณาญาติ ลุกลามไปในชุมชนน้อยใหญ่ ก็จะมีแต่ก่อเวรภัยหาความสุขมิได้ ยิ่งมนุษย์นำสติปัญญาที่มัวเมาไปด้วยความชั่วและสิ่งเลวร้าย มีนายคือ จอมกิเลสคอยบงการ ก็เอาสติปัญญานั้นแหละเที่ยวค้นคิดสร้างอาวุธยุทธนา แล้วนำมารบราฆ่าฟันกันตาย ทำลายชีวิตและสมบัติซึ่งกันและกัน ทำลายล้างแม้ประเทศชาติบ้านเมืองให้ฉิบหายล่มจม ล้างผลาญแม้กระทั่งสมณะเณร ชี ให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างที่เราท่านทั้งหลายมองเห็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อยังไม่ตายหายจาก วิบากของความชั่วเลวร้ายนั้นก็คอยไล่ล้างผลาญตนเองให้เที่ยวหนีซุกซ่อน เหมือนสัตว์ที่ถูกน้ำร้อน เลยหาความสุขไม่ได้ เป็นนรกบนดินด้วยเหตุฉะนี้ี้..."
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|